วันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา เป็นวัน “พระปิยมหาราช” ที่ประชาชนคนไทยทุกคนรู้จักกันดีว่า เป็นพระราชสมัญญานามของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2411 ถึง พ.ศ.2453 เป็นระยะเวลาเกือบ 42 ปี และมีพระราชานุสาวรีย์ของพระองค์ซึ่งประชาชนร่วมกันออกเงินสร้างเป็นพระบรมรูปทรงม้าประดิษฐานหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต ในวาระที่พระองค์ทรงครองราชย์ครบ 40 ปี
ตลอดรัชสมัยของพระองค์ ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างอเนกอนันต์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองให้รอดพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกทั้งหลาย สามารถธำรงเอกราชไว้ได้ตราบจนทุกวันนี้
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ได้ทรงทำการปฏิรูปบ้านเมืองให้ทันสมัยในหลายๆด้าน เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในการเผชิญหน้ากับประเทศผู้ล่าอาณานิคมทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อให้ทันสมัยและก้าวหน้าในหลายๆด้านสรุปได้ดังนี้
1.การปฏิรูปการปกครอง ได้ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ (องคมนตรีสมัยนี้) เมื่อ พ.ศ.2417 ซึ่งเอาแบบอย่างจากการปกครองของประเทศตะวันตกในยุโรปมาดัดแปลงใช้ในราชอาณาจักรสยาม
2.การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน ได้ทรงยกเลิกจตุสดมภ์ (เวียง วัง คลัง นา) และให้มีการจัดตั้งกระทรวงต่างๆรวม 10 กระทรวงขึ้นแทน คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงนครบาล กระทรวงวัง กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงการคลังมหาสมบัติ กระทรวงโยธาธิการ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงธรรมการ และกระทรวงเกษตราธิการ ดำเนินการบริหารงานตามภารกิจหน้าที่ของตนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
3.การปฏิรูปราชการส่วนภูมิภาค ได้ทรงรวบรวมหัวเมืองตามชายแดนที่สำคัญๆขึ้นเป็นเขตปกครองเรียกว่า “มณฑล” แล้วส่งข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถไปปกครอง โดยมีกระทรวงมหาดไทยทำหน้าที่จัดระเบียบการปกครองส่วนภูมิภาค
4.การปฏิรูปสังคม ได้ทรงให้มีการเลิกทาส ทำให้คนไทยมีอิสระเสรีภาพในการดำรงชีวิตอยู่ และประกอบอาชีพได้ตามความต้องการของตน
5.การปฏิรูปศาล ได้ทรงจัดตั้งศาลพิเศษขึ้นในปี พ.ศ.2417 ทำหน้าที่พิจารณาคดีที่ต้องการเร่งด่วน หรือดูแลเอาใจใส่ในคดีความที่อยู่ในความรับผิดชอบของศาลจตุสดมภ์
6.การปฏิรูปการจัดเก็บภาษีอากร มีการจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อเป็นที่รวบรวมรายได้จากภาษีอากรทั่วประเทศ
7.การสร้างระบบรัฐวิสาหกิจ (ธนาคารไทยแห่งแรกซึ่งต่อมาเรียกว่า บริษัทแบงก์สยามกัมมาจลทุน จำกัด และ การบริการสาธารณะต่างๆของประเทศ)
8.การปฏิรูปการศึกษา ได้ทรงตั้งโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบขึ้นเป็นครั้งแรก ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นที่ฝึกอบรมเชื้อพระวงศ์ให้ได้รับการศึกษา ทรงตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นที่วัดมหรรณพารามสำหรับให้ราษฎรเล่าเรียน ทรงตั้งกระทรวงธรรมการขึ้นเพื่อบริหารและควบคุมกิจการต่างๆด้านการศึกษา
9.การปฏิรูปกิจการทหาร ได้ทรงปรับปรุงกิจการทหารขึ้นใหม่ โดยจัดกองทัพให้เป็นหน่วย คือ กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กรมทหารล้อมวัง กรมทหารม้า และ กรมทหารปืนใหญ่ ทรงตั้งกรมยุทธนาธิการทหารเพื่อบังคับบัญชาทหารบกและทหารเรือ ทรงจัดตั้งโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนายเรือ และกระทรวงกลาโหม และโปรดให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหารขึ้น
10.การต่างประเทศ จัดให้มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศมหาอำนาจในยุโรปอีก 2 ประเทศ คือ รัสเซียและเยอรมันนี เพื่อคานอำนาจและถ่วงดุลกับอังกฤษและฝรั่งเศส รวมทั้งมีการแก้ไขสนธิสัญญาที่เสียเปรียบนักล่าอาณานิคม และเสด็จประพาสต่างประเทศเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับ อินเดีย อินโดนีเซีย พม่า สิงคโปร์ อียิปต์ และประเทศในยุโรปรวม 15 ประเทศ
11.การสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะของประเทศ (การรถไฟ การประปา การไฟฟ้า การไปรษณีย์ การโทรเลข และ การโทรศัพท์)
12.การสร้างระบบสาธารณสุขและกิจการพยาบาล (สภากาชาด โรงพยาบาล และ โรงเรียนแพทย์-พยาบาล)
13.กิจการพระพุทธศาสนา โดยการจัดให้มีการชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับบาลี รวมทั้ง พ.ร.บ.ลักษณะปกครองสงฆ์ มหามกุฏราชวิทยาลัย และมหาธาตุราชวิทยาลัย
14.การก่อตั้งและส่งเสริมกิจการโบราณคดี พิพิธภัณฑ์ หอสมุด ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม จิตรกรรม วรรณกรรม และนาฏกรรม
15.การเสด็จประพาสต้นในท้องถิ่นต่างๆในประเทศไทย เพื่อเรียนรู้ และรวบรวมข้อมูลสภาพความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฎร์ในท้องถิ่นต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและการพัฒนาประเทศและประชาชน
ทั้งหมดดังกล่าวเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญๆของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงสร้างไว้ในรัชสมัยของพระองค์เท่าที่รวบรวมได้ นับเป็นการเริ่มต้นที่แท้จริงของการปฏิรูปประเทศชาติและประชาชนในด้านต่างๆเป็นครั้งแรกของบ้านเมืองไทย
เฉพาะอย่างยิ่ง พระราชดำรัสด้านการปกครองที่ได้ทรงสั่งสอนพระราชโอรสไว้ว่า “เราเป็นคนของประชาชน ไม่ใช่เจ้าขุนมูลนาย ฉะนั้นต้องทำงานตอบแทนเขา” เป็นพระราชดำรัสที่ทรงแสดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยอันสูงส่งที่มีต่อประชาชนในบ้านเมือง โดยไม่ได้ทรงคิดถึงฐานะใดๆทั้งสิ้น นอกจากคิดถึงประชาชน ขอฝากความดังกล่าวนี้ให้ใครก็ได้ที่มีอำนาจขณะนี้ได้คิด
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี