ตลอดประวัติศาสตร์ของโลก แม้มนุษย์เราได้เห็น ได้มีประสบมาอย่างสม่ำเสมอกับความสุดโต่งทางความเชื่อที่มุ่งครอบงำผู้อื่น ชนิดที่เรียกว่า “ข้าถูกต้องแต่ผู้เดียว” รวมถึงการใช้ความรุนแรงแบบไร้ขอบเขตไร้มนุษยธรรม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ แต่โลกก็ยังได้เห็นการแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจา ด้วยสันติวิธี เช่น กรณีชาวไอริชคาทอลิกในรัฐไอร์แลนด์เหนือของสหราชอาณาจักร ซึ่งบัดนี้สันติภาพได้กลับคืน ส่งผลให้เกิดการอยู่ร่วมกันได้ระหว่างชาวไอริชคาทอลิกกับชาวไอริชโปแตสแตนท์ในสังคมเสรีประชาธิปไตย และการคงอยู่ของไอร์แลนด์เหนือในกรอบสหราชอาณาจักร (อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ) หรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ก็ยังมีกรณีอินเดียนำโดยมหาตมะ คานธี ในการต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษด้วยสันติวิธี และการอดกลั้นของผู้นำรัฐบาลอังกฤษ ยอมรับกับสภาพความเป็นจริงการถดถอยของพลังอำนาจของอังกฤษ
และเมื่อไม่นานเท่าไหร่ ชาวแอฟริกาใต้ผิวดำก็ประสบความสำเร็จในการปลดแอกสังคมจากผู้ปกครองชนกลุ่มน้อยผิวขาว ซึ่งเมื่อดำเนินการสำเร็จแล้ว นายเนลสัน แมนเดลา ผู้นำ ก็มิได้คิดจะล้างแค้นชาวผิวขาวสำหรับเรื่องขมขื่นที่ผ่านๆ มา กลับใช้วิธียื่นมือเชื้อเชิญให้มาร่วมกันสร้างชาติแทน
เมื่อไม่กี่วันมานี้ที่สิงคโปร์ก็ได้ประธานาธิบดีคนใหม่ที่เป็นสตรีเพศ แถมยังเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามอีกด้วย ซึ่งบ่งบอกถึงโอกาสอย่างเท่าเทียมจากการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ถ้อยทีถ้อยอาศัยในสังคมพหุวัฒนธรรม
ซึ่งในขณะที่โลกหันเหไปสู่ความสงบด้วยการเจรจา และยอมรับความต่างกัน แต่ในระยะเวลาไม่นานนี้ กลับมีกองกำลังขบวนการลัทธิสุดโต่งทางศาสนาอิสลามไอซิสที่มุ่งมั่นจะสร้างรัฐศาสนาปกครองแบบเคาะลีฟะฮ์ (Caliphate) และเลือกใช้ความรุนแรงในการขจัดผู้เห็นต่างอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งในช่วงแรกๆ ก็เพียงถูกประชาคมประณาม คัดค้าน แต่เมื่อในที่สุด ชาวโลกก็ต่างร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้าน และร่วมมือกันขจัด จนเกือบเป็นผลสำเร็จแล้ว และไม่สามารถจะผันตัวได้อีก
ซึ่งการต่อต้านนี้เป็นการปฏิเสธขบวนการสุดโต่งทางศาสนา และการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบอย่างแน่ชัด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มตาลีบัน กลุ่มอัลเค-ดา และอื่นๆ อีกมากมาย คงเป็นบทเรียนอันสำคัญต่อใครก็ตามที่จะใช้ความรุนแรง หรือความสุดโต่งเป็นที่ตั้ง และก็เป็นการให้กำลังใจต่อทุกคนว่า เมื่อร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว ก็ปราบปรามพวกมารร้ายสังคมเหล่านี้ได้
และในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีข่าวเป็นที่น่ายินดีว่า ขบวนการฮามาสปาเลสไตน์ ตกลงยอมเจรจากับฝ่ายรัฐบาลปาเลสไตน์ นำโดย พรรค/กลุ่มฟะตะห์ (Fatah) และได้ตกลงกันสงบศึก และพร้อมรับจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยการขับเคลื่อนและการจัดเวทีพบปะของรัฐบาลอียิปต์ ซึ่งก็มีนัยว่า กลุ่มฮามาสจะยุติการใช้ความรุนแรงในการต่อต้าน และทำลายล้างอิสราเอล และรับหลักการการอยู่ร่วมกันระหว่างฝ่ายปาเลสไตน์ กับฝ่ายอิสราเอล ซึ่งจะนำไปสู่การจัดตั้งประเทศอิสราเอลและประเทศปาเลสไตน์ คู่ขนานกันอย่างสมบูรณ์สง่างาม โดยโลกจะตัดชื่อขบวนการฮามาสออกจาบัญชีรายชื่อขบวนการก่อการร้ายไปได้
ทั้งหมดนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าอย่างไรแล้ว โลกก็ไม่มีทางจะเอาด้วยกับความสุดโต่ง และไม่เอาด้วยกับการใช้ความรุนแรง เพื่อบรรลุเป้าหมาย และโลกมุ่งประสงค์ให้มีการหาทางออกจากความต่างและความขัดแย้งด้วยการเดินหน้าเข้าเจรจาหารือกันอย่างสร้างสรรค์ โลกต้องการเห็นการหาจุดร่วม มากกว่าจะยืนหยัดแบบกระต่ายขาเดียวอยู่กับจุดต่างๆ หรือความคิดว่า ฝ่ายฉันนั้นถูกต้องแต่ผู้เดียว
เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ก็เป็นทั้งบทเรียน และเป็นเครื่องเตือนสติกับขบวนการสุดโต่งหัวรุนแรงทั้งหมดว่า การกระทำการใดๆ มันก็ไปได้แค่ระยะหนึ่งเท่านั้น โอกาสจะประสบความสำเร็จในระยะยาวนั้นยากเย็น ริบหรี่ หรือไม่มีเลย เพราะไม่มีมนุษย์ใดอยากถูกกดขี่ ถูกลิดรอน
สิทธิเสรีภาพ ไม่มีมนุษย์ใดอยากมีชีวิตอยู่กับความหวาดกลัว อยู่แบบเสี่ยงกับความเป็นความตายได้ทุกชั่วขณะ
จากทั่วโลกแล้วก็ขอย้อนกลับมาสู่สถานการณ์ในประเทศไทยที่ภาคใต้ โดยสำหรับกลุ่มติดอาวุธและผู้สนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่อ้างชาติพันธุ์และศาสนานิยม มาเป็นเวลาหลายๆ สิบปีแล้ว ณ บัดนี้ ก็น่าจะตระหนักแล้วยอมรับได้แล้วว่า วิธีการเผชิญหน้า และใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือกลไก เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นั้น ก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ และโอกาสลู่ทางจะบรรลุก็ดูมืดมน รังแต่จะก่อให้เกิดความสูญเสีย และเสียหายต่อไปเท่านั้น
และเมื่อเป้าหมายจะไปไม่ถึง อีกทั้งเหตุการณ์ หรือกรณีต่างๆ ทั่วโลกของการใช้ความสุดโต่งและความรุนแรง ก็ไม่สามารถจะคงอยู่หรือดึงดันต่อไปอีกได้ ก็ถึงเวลาแล้วที่จะได้มีสติ ลดอัตตา ยึดมั่น ถือมั่น อีกทั้งต้องละเว้นการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับคำสั่งสอนของศาสนา ที่มุ่งสันติภาพและการอยู่ร่วมกัน และเกื้อกูล ช่วยเหลือกันเป็นหลักเท่านั้น
ส่วนฝ่ายรัฐบาลไทยในปัจจุบันซึ่งเป็นรัฐบาลทหาร ก็ควรเรียนรู้จากโลกกว้าง ปรับทัศนคติ เปิดใจ และต้องยอมรับว่า เขาเหล่านั้นก็เป็นพลเมืองไทย เป็นผู้ร่วมสร้างชาติได้ และต่างต้องการความยุติธรรมและการปฏิบัติที่ทัดเทียม ไม่ผิดจากพลเมืองคนไทยทั้งที่เป็นพุทธ คริสต์ ซิกข์ ฮินดู ฝ่ายรัฐต้องอำนวยให้พลเมืองไทยต่างได้อยู่ร่วมกันมาท่ามกลางความหลากหลายซึ่งเป็นมาเป็นพันปีแล้ว
ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลทหารชุดนี้ว่า จะยอมเปิดโต๊ะเจรจาอย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวเสียทีหรือไม่ และจัดทีมเจรจาที่เป็นที่เคารพเชื่อถือของสังคม ต้องขจัดความนึกคิดว่า ปัญหาภาคใต้เป็นเรื่องของการสู้รบระหว่างฝ่ายกองทัพกับฝ่ายกองกำลังติดอาวุธ แต่เป็นเรื่องการขจัดรากเหง้าของปัญหา ของความรู้สึกนึกคิดว่า เกี่ยวกับความยุติธรรม เกี่ยวกับอัตลักษณ์ และความเป็นพลเมืองในราชอาณาจักรไทยที่แบ่งแยกมิได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี