เดนิส ดี เกรย์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสของสำนักข่าวเอพี ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยมานานกว่าครึ่งศตวรรษ เขียนสารคดีเชิงข่าวเรื่อง “Thailand’s working Royals” ไว้ในเดือนมกราคม 2530
Thailand’s working Royals ฉายภาพให้เห็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในฐานะจอมทัพผู้นำกองทัพธรรมแห่งราชวงศ์จักรี ทำศึกสงความกับความยากจน รักษาบูรณภาพแห่งดินแดนและสร้างความสุขร่มเย็นให้กับพสกนิกร เหมือนกับที่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชไทยในอดีตทำสงครามขับไล่อริราชศัตรู หรือทำสงครามการเมืองที่ใช้กลยุทธ์การทูตเป็นอาวุธ รักษาอธิปไตยของชาติไว้ได้ ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคมตะวันตก แตกต่างเพียงว่ากองทัพธรรมแห่งราชวงศ์จักรีไม่ต้องสาดกระสุนหลั่งเลือด ใช้ความเพียรขัตติยมานะก็สามารถชนะภัยคอมมิวนิสต์ที่กำลังคุกคามโลกได้
ผู้เขียนเห็นว่าบทความชิ้นนี้น่าสนใจ ขอถอดความเป็นภาษาไทยมาแบ่งปันดังต่อไปนี้
“การเริ่มงานวันนั้น ก็คล้ายๆกันกับการเริ่มต้นทำงานวันอื่นๆ บนพื้นที่ที่แตกต่างออกไป เสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังมาแต่ไกล ส่งผลให้กลุ่มคนที่นั่งยองๆ อยู่บนพื้นดินตีนเนินเขา ลุกพรวดขึ้นจับตามองไปยังทิศที่มีเสียงแมงป่องยักษ์ ถ้าเป็นวันอื่นและสถานที่อื่น ผู้คนที่ลุกขึ้นยืนอาจเป็นชาวนาบนพื้นที่ราบลุ่มในภาคกลางหรือเป็นชาวบ้านยากจนจากมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย แต่วันนั้นที่ดอยอ่างขาง ผู้ที่ลุกขึ้นยืนเป็นชาวเขา คนพื้นที่สูงในภาคเหนือของประเทศไทย เผ่าละอู หน้าตาขึงขัง ผมด้านหน้าโกนเลี่ยนขึ้นไปเกือบถึงกลางหัว หญิงชาวเย้าสวมชุดยาวถักลายหลากสี โพกหัวด้วยผ้าดำทรงสูง จีนฮ้อจากยูนนาน ผู้ถนัดการค้าหยกและค้าฝิ่น
เมื่อเฮลิคอปเตอร์อยู่ในรัศมีสายตา พวกเขาจ้องมองที่เครื่องหมายธงไตรรงค์อยู่บนลำตัวเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังหย่อนตัวลงจอด พายุฝุ่นจากแรงใบพัดยังไม่ทันจางหาย บุรุษร่างบอบบางสวมแว่นตา ท่าทางเอาจริงเอาจังก้าวลงจากเฮลิคอปเตอร์ ถือแผนที่ขนาดใหญ่ที่ย่อส่วน 1 ต่อ 50,000 กับดินสอสีแดงอยู่ในมือ วิทยุสนามเหน็บอยู่ที่เข็มขัด สวมรองเท้าบู๊ตสำหรับเดินป่า ทรงสนับเพลาลายพราง ชาวเขาที่เกาะกลุ่มกันอยู่แหวกทางให้บุรุษที่พวกเขาเรียกว่า“พ่อหลวง” ถ้าพูดกันตามท่วงทำนองทหาร บุรุษผู้นี้คือ พระมหากษัตริย์ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินมาพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวเพื่อทำสงคราม สงครามที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติมากกว่าสงครามสาดกระสุนและหลั่งเลือดต่อสู้กับกลุ่มคอมมิวนิสต์ หรือสงครามต่อต้านอริราชศัตรูผู้รุกราน
ยุทธภูมิการสู้รบของพระมหากษัตริย์ไทยอยู่ในพื้นที่ชนบทกันดาร เป็นที่อยู่อาศัยที่ทำกินของชาวไทยกว่าร้อยละแปดสิบ ย่อมมีปัจจัยพิเศษมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ อาทิ การเสาะหาต้นน้ำสายน้ำ ขุดคลองขุดร่อง ทำฝายกักน้ำ สร้างเขื่อน ตลอดถึงการศึกษาค้นคว้าหาวิธีการให้ได้ข้าวสารเพิ่มมากขึ้นจากข้าวเปลือก ที่เก็บเกี่ยวมาจากผืนนา ท้องไร่แต่ละพื้นที่ สอบถามศึกษาหารายละเอียดว่า ชนบทกันดารแห่งไหนต้องสร้างโรงเรียน หรือสถานีอนามัยก่อน ยุทธศาสตร์การสู้รบในสงครามนี้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เพราะเป็นการสู้รบเพื่อป้องกันยับยั้งความวุ่นวายไม่ให้เกิดขึ้นในสังคม และเป็นกระบวนการที่สร้างความมั่นใจในการดำรงไว้ซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดนและความสงบสุขของคนในชาติ
ยุทธศาสตร์นี้ได้ร้อยเรียงและผูกพันอยู่กับทศพิธราชธรรมของสมเด็จพระมหากษัตริย์ที่บริหารจัดการให้สถาบันพระมหากษัตริย์กับชาติไทยเป็นอิสรภาพมากว่า 700 ปี
“เป็นยาป้องกัน” พระเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายวิธีดำรงไว้ซึ่งอิสรภาพแก่พวกเรา ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ถ้าไม่มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงอัจฉริยภาพอันพิเศษพระองค์นี้ ราชวงศ์ก็จบสิ้นกลายเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนเพื่อนบ้านกลุ่มประเทศอินโดจีน แต่ในขณะที่พระราชบัลลังก์เหล่านั้นถูกล้มเลิกพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลต่อสู้ด้วยความเพียรพยายาม ด้วยขัตติยมานะ แม้ว่าประเทศไทยของพระองค์วุ่นวายกับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2489 ในวัย 18 พรรษา ทรงเป็นกษัตริย์ ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้ความแตกต่างของรัฐธรรมนูญ ที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงสิบกว่าฉบับ พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงการถูกดูดเข้าไปสู่วังวนการเมือง ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาดับทุกข์ในยามประเทศเกิดวิกฤตการณ์เช่นครั้ง 14 ตุลาฯ วันมหาวิปโยค เมื่อนักศึกษาเดินขบวนครั้งใหญ่ขับไล่รัฐบาลเผด็จการ
“เมื่อพระบรมวงศานุวงศ์ต่างประเทศทรงมาเยือนไทย พวกเขาอัศจรรย์ใจ” ท่านผู้หญิงบุษยา ไกรฤกษ์ นางสนองพระโอษฐ์กล่าว “..พูดว่าราชอาณาจักร เหมือนกับพีระมิดที่พระเจ้าแผ่นดินประทับอยู่บนยอดและประชาชนเป็นฐานอยู่ข้างล่าง แต่ในประเทศไทยกลับเป็นตรงกันข้าม” พระเจ้าอยู่หัวเคยตรัสครั้งหนึ่งว่า “นั่นนะซิ...ทำไมเราถึงรู้สึกปวดแถบนี้” พระองค์ชี้ไปที่พระศอและที่พระอังสา พระอารมณ์ขันของพระองค์ทำให้พวกเรายิ้มได้เสมอ
การได้ตามเสด็จฯดอยอ่างขาง เท่ากับเข้าถึง “สามเหลี่ยมทองคำ” พื้นที่ชายแดนประเทศพม่า สปป.ลาว และประเทศไทยเหลื่อมกัน สามเหลี่ยมทองคำ เป็นแหล่งผลิตฝิ่นที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค เป็นฐานที่มั่นของกองกำลังติดอาวุธราชาฝิ่น เป็นที่ซ่องสุมของกองกำลังขบถชนกลุ่มน้อยและชาวเขาหลายเผ่า เจ้าหน้าที่รัฐเองไม่ค่อยย่างกรายเข้าไปในพื้นที่อันตรายแห่งนี้ จนกระทั่งต้นทศวรรษ 2510 หลังจากทรงมีพระราชดำริให้ทำเครือข่ายโครงการนำร่อง ให้ชาวเขาลดเลิกอาชีพปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอย จัดหาที่ทำกินเป็นหลักแหล่งให้ เพื่อลดการเผาป่าด้วยไร่เลื่อนลอย และ จัดทำโครงการปลูกพืชเศรษฐกิจแทนการปลูกฝิ่น
ไม่นานหลังจากพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯลงจากเฮลิคอปเตอร์ และกำลังเสด็จพระราชดำเนินขึ้นมาตามเส้นทางเนินดินกับพระราชเลขาและทหารรักษาพระองค์ ชายชาวเขาจากเผ่าละอู สิบคนก็กรูเข้าขวางทาง ถวายฎีกากราบบังคมทูลว่า “ทุกวันนี้พวกเราหาได้ไม่พอกิน” ผู้ใหญ่บ้านชื่อ Tse Che กล่าว ในหลวงตรัสตอบว่า “แต่จำได้ เราจัดสรรที่ทำกินให้แล้วนี่” พระองค์ตรัสถึงข้อตกลงรายละเอียดต่างๆ เมื่อเสด็จฯมาครั้งก่อนให้ฟัง “ใช่..ๆ แต่มีชาวเขาเผ่าอื่น บุกรุกแย่งที่ทำกินของพวกเรา” ผู้ใหญ่บ้านชาวเขาต่อปากต่อคำ
พระเจ้าอยู่หัวทรงชันพระชานุลงกับพื้นดิน ทำให้คณะผู้ตามเสด็จฯและเจ้าหน้าที่ต้องทรุดนั่งลงอย่างรวดเร็วและพยายามก้มลงไม่ให้หัวพวกเขาสูงกว่าพระเศียรพระเจ้าอยู่หัว แต่ดูเหมือนว่าจารีตประเพณีเหล่านี้ มิได้ถือปฏิบัติในหมู่ชาวเขา พวกเขาถือว่าพระเจ้าอยู่หัว “พ่อหลวง” เป็นญาติผู้ใหญ่ของบ้าน ผู้ใหญ่บ้าน Tse Che ถอนหญ้ามาจิ้มฟัน ชายชราอีกคนหนึ่งเคี้ยวหมากหมุบหมับ ขณะที่พ่อหลวงตรัสถามและทรงชี้พระหัตถ์ไปบนแผนที่ซึ่งกางแผ่บนพื้นดิน กษัตริย์ภูมิพล ผู้ซึ่งคนทั่วไปต้องถวายรายงานเป็นราชาศัพท์ ตรัสชี้แจงชาวเขาด้วยภาษาชาวบ้าน ท่ามกลางแสงแดดแผดกล้า ทำให้พระเสโทหลั่งลงมาถูกฝุ่นที่ติดตามพระวรกายเป็นจุดกระดำกระด่าง แต่พระพักตร์ยังเรียบเฉยด้วยขัตติยมานะ (มีคนบอกผม (เดนิส)ว่า นั่นเป็นผลพวงจากการฝึกสมาธิตามหลักพุทธศาสนา)
หลังจากชี้แจงทำความเข้าใจกับชาวเขาด้วยความเพียรพยายามอยู่เป็นเวลานาน พระองค์มีกระแสรับสั่งกับข้าราชการสองสามประโยค ก่อนบอกกับผู้ใหญ่บ้าน Tse Che ว่า “เราจะมาช่วยเหลือท่าน” ชายชาวเขาสิบคนยิ้มอย่างพอใจ
(ต่อฉบับหน้า)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี