ผ่านพ้นไปแล้วอย่างสมพระเกียรติ และบ่งบอกถึงความจงรักภักดีที่เปี่ยมล้นของคนไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมๆ กับแน่ชัดในพระเกียรติคุณที่นานาประเทศยกย่อง จึงได้เห็นว่า มีพระราชอาคันตุกะจากราชวงศ์ต่างๆ ตัวโลกและตัวแทนรัฐจากประเทศต่างๆ เข้าร่วมในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นจำนวนมาก ยิ่งประชาชนคนไทยด้วยแล้ว การจับจองพื้นที่กลางแดดกลางฝนเพื่อจะได้ “อยู่ใกล้” ให้มากที่สุด ตลอดจนการต่อแถวเพื่อวางดอกไม้จันทน์เป็นราชสักการะ ณ จุดวางดอกไม้จันทน์และพระเมรุมาศจำลองทั่วประเทศ ล้วนเป็นเครื่องบ่งบอกว่า พระองค์ท่านอยู่ในหัวใจคนอย่างแท้จริง
มีสิ่ง “จับใจ” ผม นานัปการเกิดขึ้น ท่ามกลางน้ำตาแห่งความอาลัยรัก เช่น ภาพของลูกเสือกองร้อยพิเศษโรงเรียนวัดราชบพิธ ที่นอนหลับสลบไสล เพราะปฏิบัติหน้าที่ที่ซุ้มวางดอกไม้จันทน์
ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ตั้งแต่เวลา 06.00-04.40 น., ภาพพี่น้องมุสลิม จากชุมชนมัสยิดฮารูณและมัสยิดบางกอก ร่วมกันปรุงอาหารกล่องและโรตีเพื่อนำไปบริการฟรีแก่ผู้ที่เข้าร่วมวางดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ที่วัดหัวลำโพง พระอารามหลวง ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ร่วมกับเขตบางรักเพื่อแสดงความไว้อาลัยอย่างสุดซึ้ง แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9, ภาพอาสาสมัครช่วยงาน, ภาพประชาชนกางร่มให้ตำรวจที่ยืนปฏิบัติหน้าที่ ฯลฯ
นี่คือ กฤดาภินิหารของในหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงดับความต่าง สร้างความรัก และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแก่คนทั้งชาติ
ต่างศาสนากัน แล้วยังไง? ต่างภูมิภาคกัน แล้วยังไง? ต่างอาชีพกัน แล้วยังไง?
ไม่มีความต่างใดๆ เมื่อคนไทยมองไปยังพระองค์ “ผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย”
เพราะเราคือพสกนิกรของ “พ่อ”
เพราะการมี “พ่อของแผ่นดิน” นั้นทำให้เราทุกคนเป็น “พี่น้องร่วมแผ่นดินเดียวกัน”
สิ่งที่พึงจดจำ และนำไปสู่การ “ขบคิด” และน้อมนำไป “ประพฤติปฏิบัติ” โดยพร้อมเพรียงกัน ก็คือ สาระธรรม ในพระธรรมเทศนา ของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร) ซึ่งสำหรับเพื่อนต่างศาสนาแล้ว ลืมไปเสียก็ได้ว่า ผู้กล่าวเป็นใคร แต่สาระที่ท่านกล่าวถึงต่างหาก ที่จะเป็น “หัวใจ” และเป็น “เข็มทิศ” นำพาเราทุกคนไปสู่การปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาท เพื่อชาติบ้านเมืองที่ดี และชีวิตความเป้นอยู่ที่ดีขึ้นของเราทุกคน
โดยความในพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระสังฆราช ตรัสว่า...
“...พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร แม้เสด็จสวรรคตล่วงลับไปกว่า 1 ปีแล้ว ก็เหมือนยังทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่ผู้รำลึกถึง ในเวลาคำนึงถึงพระราชคุณูปการ จะรู้สึกเหมือนได้รับพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์โดยตรง เฉกเช่นบัณฑิตผู้ทรงความปรีชา ย่อมปรารภความอย่างเดียวกัน สรรเสริญพระบรมศาสดา แม้พระองค์เสด็จปรินิพพานนานมาแล้ว ก็ดุจปรากฏอยู่โดยความเป็นอตีตารมณ์ คือ คำนึงเห็นแม้ล่วงไปแล้วยังอยู่ด้วยพระคุณทั้งหลาย อันจะพึงรู้สึกได้ด้วยใจ
...พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรทรงถนอมอุปการะพระราชโอรส พระราชธิดา พระราชนัดดา และพระราชปนัดดา ตามหน้าที่แห่งสมเด็จพระราชบุพการีตลอดมา พระทายาทที่ทรงพระเจริญแล้ว พอจะทรงพระอุเบกขาได้ ก็ยังมีพระราชหฤทัยจดจ่อด้วยพระเมตตากรุณา สมด้วยพระพุทธภาษิตว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร มารดาบิดาชื่อว่าเป็นพรหมของบุตร ก็พรหมมีเมตตากรุณาเป็นธรรมะเครื่องอยู่ฉันใด พระองค์ย่อมทรงพระเมตตาปรารถนาสุขและทรงพระกรุณาวิตกวิจารณ์จากเรื่องทุกข์ของพระทายาทฉันนั้น แต่พรหมวิหารธรรมของพระองค์หาได้เผื่อแผ่จำกัดเฉพาะแก่ในเฉพาะประยูรญาติเท่านั้น แม้พระบรมวงศานุวงศ์ก็ยังเผื่อแผ่ไปด้วย และเผื่อแผ่ตลอดโดยตรงถึงอาณาประชาราชทุกหมู่เหล่าทุกเชื้อชาติศาสนา ทุกเพศและทุกวัย ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ บรรดาที่ควรจะทรงสงเคราะห์ได้ด้วยสถานใดๆ ก็ทรงสงเคราะห์ด้วยสถานนั้นๆ กล่าวอย่างสั้นคือ ทรงดำรงพระชนมชีพเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวไทยและชาวโลก ต้องตามพระปฐมพระบรมราชโองการทุกประการ
...หากทรงทราบด้วยพระญาณวิถี เมื่อสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าได้ทรงรับสิริราชสมบัติจะทรงคุ้มครองประชาชนโดยธรรม และหากทรงทราบโดยพระญาณวิถีว่า ประชาชนที่พระองค์ทรงห่วงนั้น จะสามารถน้อมนำพระปัญญาญาณไปบันดาลชีวิตของตนให้อยู่ดีมีสุข พึ่งพาตนเองได้ เป็นพลเมืองดี มีสติปัญญาและคุณธรรมพรั่งพร้อมยังคงความผาสุกร่มเย็นอย่างยั่งยืน ย่อมทรงอิ่มพระราชหฤทัย ดุจดังพระบรมศาสดา ทรงกระทำพุทธกิจแก่พระสาวก ทรงอิ่มพระพุทธกมลแล้วเปล่งพระวาจาว่า กิจใดศาสดาผู้กรุณาแสวงหาประโยชน์พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้นเราได้ทำแล้วแก่พวกท่านทุกประการดังนี้
...สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ประทานพระปัจฉิมโอวาทว่า “หนฺททานิ ภิกฺขเว อามันฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” ความว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่านทั้งหลาย สังขารมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำประโยชน์ต่อตนและผู้อื่นให้ล้นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท
...สังขารหรือสภาพแห่งร่างกายและจิตใจอันถูกปรุงแต่งขึ้น เปรียบเหมือนบ้านเรือน เป็น “อัพยากตธรรม” ไม่จัดเป็นบุญเป็นบาป อย่างดีเพียงที่ปรากฏและเห็นอยู่ภายนอก เป็นของสวยของงามแตกต่างกันบ้างก็เท่านั้น ความสำคัญอยู่ที่ผู้อยู่ในบ้านเรือนนั้นต่างหากว่าเป็นใคร ถ้าเป็นผู้ประเสริฐบ้านนั้นก็เป็นบ้านของผู้ประเสริฐ เช่น ถ้าเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม สถานที่นั้นก็เป็นพระราชวังอันพึงเคารพ ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นที่อยู่ของโจรผู้ร้าย สถานที่นั้นก็เป็นที่น่ารังเกียจไม่น่าเข้าใกล้ สังขารหรือสรีระก็เช่นเดียวกัน นอกจากธรรมะ ไม่มีอะไรที่จะแบ่งสรีระให้ดีชั่วสูงต่ำได้ แม้ยังยึดมั่นในตัวเราของเราอยู่ก็พึงทำตัวเราหรือผู้ครองนั้นให้เป็นผู้มีธรรมะ อบรมคุณธรรมให้สมบูรณ์ รู้จักเกื้อกูลผู้อื่น ทำชีวิตให้มีสาระ ไม่เสียเปล่า เพื่อให้สมควรแก่การครองอัตภาพที่มีแต่ความเสื่อมสลายแตกดับไปทั้งสิ้นตามธรรมดาของสังขาร ที่จะพึงสามารถเอาสาระประโยชน์จากธรรมดา มาเป็นของหลีกพ้นจากทุกข์ได้ แล้วธรรมะใดเล่าจะเป็นของที่จะนำไปพ้นจากทุกข์ได้
...ธรรมะที่จะทำให้เกิดพ้นจากทุกข์ได้คือ สติปัญญา โดย “สติ” คือ ความระลึกได้ที่จะเป็นเครื่องช่วยอุปการะให้มีปัญญา หากบุคคลขาดสติปัญญาเสียแล้ว สังขารย่อมปรุงแต่งจิตให้เป็นจิตแห่งความโลภ จิตแห่งความโกรธ และจิตแห่งความหลง อันเป็นมูลเหตุในการพูดและกระทำความชั่วทุกชนิดในทันที สติย่อมเกิดร่วมกับจิตที่ดีงามทุกประเภท สติจึงมีหลายระดับขั้น ทั้งที่เป้นไปในการให้ทาน ในการรักษาศีล และในการอบรมความสงบของจิต กระทั่งก้าวไปสู่มหาสติในการอบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของรูปธรรมและนามธรรมอันเป็นสภาพทุกข์ที่กำลังปรากฏ ซึ่งล้วนเกิดเพราะเหตุปัจจัยและดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน พลันประจักษ์ความว่างจากตัวตน สัตว์ บุคคลเราเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติในทุกขณะ ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็จำเป็นต้องมีสติเกิดด้วยทุกครั้ง ดังนั้น การรู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้น ต้องเป็นเรื่องของสติและปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อการรู้ระลึกสภาวะธรรมตามความเป็นจริง
...พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงพระสติระลึกรู้ จึงทรงดำรงพระชนมชีพอย่างสง่าทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยปัญญา สรุปประมวลได้ว่า พระองค์ทรงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในชีวิต พระบุญญาธิการจึงไพบูลย์ควรที่เราทั้งหลายผู้ยังอยู่เบื้องหลังจะเคร่งทำประโยชน์ตนและประโยชน์ส่วนรวมตามรอยพระยุคลบาทให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท เพื่อพระผู้เสด็จจากไปจักได้ทรงอิ่มพระราชหฤทัยว่า “กะตัง กะระณียัง” กิจอันต้องกระทำ ได้กระทำเสร็จแล้ว และย่อมทรงบันเทิงทิพยารมณ์อย่างไม่ต้องสงสัย สมดังนัยยะพระพุทธภาษิตที่ว่า บุคคลผู้มีบุญอันได้ทำไว้แล้วย่อมยินดีในโลกนี้ ละโลกนี้ไปแล้ว ก็ย่อมยินดี คือย่อมยินดีในโลกทั้งสอง ย่อมยินดีว่าบุญเราได้ทำไว้แล้ว ครั้นไปสู่สุคติ แล้วก็ย่อมยินดีกว่านี้อีกด้วยประการฉะนี้...”
พระธรรมเทศนานี้ สั้นๆ แต่กินความกว้างใหญ่ยิ่งนัก ถ้อยคำก็งดงาม ใจความก็ชัดเจน ครอบคลุม สมควรที่เราจะ “ถอดรหัส” แล้วนำไปสู่การปฏิบัติอย่างพร้อมเพรียงกัน
1) เป็น “อตีตารมณ์”
สิ่งนี้จะทำให้เราทุกคนมีกำลังใจ ที่จะดำเนินชีวิตสืบต่อไป โดย “คำนึงเห็นแม้ล่วงไปแล้วยังอยู่ด้วยพระคุณทั้งหลาย อันจะพึงรู้สึกได้ด้วยใจ” พูดง่ายๆ ก็คือ เหมือนพระองค์ท่านมิได้จากเราไปไหน อนุสรณ์ถึงเมื่อไร ก็พบว่าท่านประทับอยู่กับเราเสมอ เป็นแสงส่องใจให้อบอุ่น ขจัดความมืดมนออกไปได้เสมอ ทั้งเป็นแสงส่องทาง ให้เราก้าวไปข้างหน้า ด้วยภูมิปัญญาที่ทรงวางไว้ให้มากมายยิ่งนัก
2) เป็น “พรหมของลูก”
ในหลวงรัชกาลที่ 9 นั้น ทรงปฏิบัติต่อราษฎรเหมือน “คนในครอบครัว” สมดังที่ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยกล่าวไว้ว่า “… ผมเคยอยู่มาแล้วหลายแผ่นดิน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่า
พระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินใดที่คนทั้งเมืองเขาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ให้ความเคารพบูชาอย่างสนิทสนมอย่างทุกวันนี้… พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อน ๆ ทรงครองแผ่นดิน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนี้ทรงครองใจคน...”
คำที่สมเด็จพระสังฆราชท่านทรงกล่าว คือ พระองค์ทรงพระเมตตา ปรารถนาสุข และทรงพระกรุณาวิตกวิจารณ์จากเรื่องทุกข์ นับเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดยิ่งว่า ตลอดกาลครองราชย์ของพระองค์ ธุระเดียวที่พระองค์ทรงทุ่มเทให้คือ แก้ไขความสุข เพิ่มพูนความสุขแก่ราษฎร
ครั้งหนึ่ง เมื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า “เคยทรงเหนื่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่” ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชกระแสตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้น คือบ้านคือเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ”
ในเดือนหนึ่งของปี 2528 พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช หักเฉียดโพรงประสาทฟัน พระทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาเร่งด่วน แต่ขณะนั้นกรุงเทพฯ ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัยที่ ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน
เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า “จะใช้เวลานานเท่าใด” ทันตแพทย์กราบบังคมทูลว่า อาจต้องใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง พระองค์ท่านรับสั่งว่า “ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ขอไปดูราษฎรและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน”
นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อยเท่านั้น ที่บ่งชี้ถึงจิตใจที่ห่วงหาอาทร และนำทุกข์ของราษฎรไปเป็น “งาน” ที่ต้องทรงทุ่มเทแก้ไข ทำอย่างไร ที่เราทุกข์คน ตั้งแต่ฝ่ายการเมือง ข้าราชการ พ่อค้านักธุรกิจ และประชาชนทุกหมู่เหล่า จะอัญเชิญเอา “หัวใจเช่นนี้ของพระองค์ท่าน” มาเป็นหัวใจของตนเองบ้าง ที่จะไม่หมกหมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่ประโยชน์ของตัว แต่เอาเรื่องส่วนรวมและทุกข์ผู้อื่นมาเป็นทุกข์ร่วม จากนั้นก็ใช้ปัญญาและความพากเพียรเข้าแก้ไขอย่างไม่ย่อท้อเลย โดยมีคำที่สำคัญที่พึงยึดเหนี่ยวไว้คือ “ครองตนด้วยธรรม ทำด้วยสติปัญญา มุ่งแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่”
3) พึ่งตนเองและเป็นที่พึ่งของกันและกัน
ข้อความที่ “จับใจ” และเป็น “ยุทธศาสตร์ของชาติ” เลยก็ว่าได้ คือ คำที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแสดงไว้ว่า
“...หากทรงทราบโดยพระญาณวิถีว่า ประชาชนที่พระองค์ทรงห่วงนั้น จะสามารถน้อมนำพระปัญญาญาณไปบันดาลชีวิตของตนให้อยู่ดีมีสุข พึ่งพาตนเองได้ เป็นพลเมืองดี มีสติปัญญาและคุณธรรมพรั่งพร้อมยังคงความผาสุกร่มเย็นอย่างยั่งยืน ย่อมทรงอิ่มพระราชหฤทัย...”
พูดเป็นภาษาของผมเองก็คือ ยังไม่ต้อง “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” แต่ขอให้พิสูจน์ตัวพิสูจน์ใจในชาตินี้ ในชีวิตนี้ให้เห็นกันเสียก่อนดีกว่าว่า จะเรียนรู้จากภูมิปัญญาที่พระองค์ท่านพระราชทานไว้ เช่น โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการนั้น คือต้นแบบของการแก้ปัญหาประเทศแทบจะครอบคลุมทุกพื้นที่บนแผ่นดินนี้อยู่แล้ว ไยงอมืองอเท้าไม่น้อมนำมาทำกัน ไยภาครัฐเพิกเฉย ไม่ทำต่อ ไยภาคราชการไม่ทำเพิ่ม ไม่ขยายผล ไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนอย่างเอาจริงเอาจังกันเสียที
นับจากวันนี้ เราทุกคนมีหน้าที่ น้อมนำพระปัญญาญาณไปบันดาลชีวิตของตนให้อยู่ดีมีสุข พึ่งพาตนเองได้ เป็นพลเมืองดี มีสติปัญญาและคุณธรรมพรั่งพร้อม
เมื่อประชาชนลงมือทำ ทำด้วยความเพียร ทำจนประสบผล นั่นแหละ คุณจะเข้าถึงกฤดาภินิหารของในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องยึดเอาหมอกธุมเกตหรือนกรยางค์ขาวบินเหนือพระเมรุเป็นปาฏิหาริย์อีกต่อไป ไม่มีปาฏิหาริย์หรือกฤดาภินิหารใด สูงส่งและน่าอัศจรรย์เท่ากับช่วงเวลา 70 ปี ที่ทรงทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนไทยทั้งมวลอีกแล้ว!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี