งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ผ่านพ้นไปอย่างสมพระเกียรติสูงสุด และเป็นพระราชพิธีที่ถูกเผยแพร่สู่สายตาของคนทั่วโลก
1. การจัดพระราชพิธีฯ นั้น น่าจะบรรลุเจตนารมณ์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ผมเห็นว่า ทุกอย่างเป็นไปโดยเรียบร้อย หมดจดงดงาม สมพระเกียรติ
ประการสำคัญ โอกาสนี้ ทำให้ได้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยทั้งแผ่นดิน ที่มีศูนย์รวมดวงใจอยู่ที่สถาบันสูงสุดเช่นเดียวกัน
ประชาชนหลั่งไหลมาที่สนามหลวง ตากแดดกรำฝน
ที่ต่างจังหวัด ทุกภูมิภาค ก็เดินทางไปรวมตัวตามสถานจัดงานอย่างเนืองแน่น ทุกหนทุกแห่ง
ผมไปที่อำเภอสัตหีบ เห็นแถวยาว ผู้คนแต่งชุดดำ เรียบร้อย อยู่ในอาการสงบ สำรวม
เป็นความรู้สึกร่วมของในทั้งชาติอย่างแท้จริง
ความเป็นหนึ่งเดียวที่เกิดขึ้น เป็นเพราะในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงถึงพร้อมด้วยพระบารมี พระคุณความดีสะสม ประชาชนตระหนักรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ตลอดรัชสมัยของพระองค์ท่าน
ที่สำคัญ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) ทรงใส่พระทัยในรายละเอียดของพระราชพิธีสำคัญนี้อย่างที่สุด ทรงติดตาม มีพระราชวินิจฉัย ด้วยเหตุนี้ งานจึงสำเร็จลุล่วงโดยเรียบร้อยทุกประการ
ท่ามกลางพระราชอาคันตุกะจากนานาประเทศ ต่างได้ร่วมรับรู้ถึงความรู้สึกของปวงชนชาวไทยในยามนี้ ทุกอย่างเรียบร้อย ทั้ง
เดินทางมา ตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศไทย กระทั่งเดินทางกลับ
พระราชพิธีครั้งนี้ ยังได้มีการเผยแพร่ ถ่ายทอดออกไปทั่วโลก ผ่านทั้งสื่อกระแสหลัก โทรทัศน์ อินเตอร์เนต สื่อสังคมออนไลน์ สะท้อนภาพลักษณ์อันดียิ่งของประเทศไทย
โอกาสนี้ ทำให้คนไทยได้เรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีไทย รากเหง้า เข้าใจวิถีชีวิต วิธีคิด ค่านิยม ศิลปะ โบราณราชประเพณี ตลอดจนพิธีกรรมต่างๆ มากขึ้นเป็นอันมาก นับเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้เชิงลึกของผู้คนในชาติ เรียนรู้ผ่านการซึมซับ ดูและฟัง ตลอดจนร่วมสัมผัส มีส่วนร่วมโดยตรงในหลายๆ กิจกรรม
นอกจากนี้ พระเมรุมาศที่ท้องสนามหลวง ยังจะเปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่คนสามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ต่อเนื่อง จากนี้ไปอีก 1 เดือน ยิ่งทรงคุณค่า
ปรากฏว่า มีผู้ตั้งคำถามทำนองว่า คุ้มค่าหรือไม่ กับการเสียงบประมาณ 90 ล้านดอลลาร์ (หรือราวๆ 3,100 ล้านบาท) สำหรับการจัดงานครั้งนี้?
ผมเห็นว่า คนที่ตั้งคำถามนี้ คงคิดแต่เรื่องวัตถุ ตัวเงิน โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าอื่น เช่น ความรัก ความศรัทธา ความรู้สำนึกในบุญคุณ ความกตัญญู ฯลฯ ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของคนไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่า มีคุณประโยชน์จริง แต่ยากจะตีราคาเป็นตัวเงิน
แต่ถ้าจะลองตามโจทย์ว่า 90 ล้านเหรียญ หรือ 3,100 ล้านบาทนั้น คุ้มหรือไม่? ผมอยากจะบอกคนที่ถามว่า จริงๆ แล้ว ต้นทุนของงานนี้ มีมหาศาลกว่านั้นมาก เพราะยังมีประชาชนจิตอาสา ยอมสละเวลางานซึ่งมีค่ามหาศาล ยังข้าวปลาอาหาร มีความช่วยเหลือ แบ่งปัน ระหว่างคนไทยด้วยกัน และบริษัทเอกชนต่างๆ ร่วมกัน มีค่าเดินทางของประชาชนทั่วประเทศ และทั่วโลก บางคนเดินทางกลับมาร่วมงานนี้โดยตรง ฯลฯ
หากรวมทั้งหมดแล้ว เชื่อว่า น่าจะเกิน 3,100 ล้านบาทไปอีกมาก
แต่ทั้งหมดนั้น คนไทยยินดี เต็มใจ สละผลประโยชน์ส่วนตัวในโอกาสสำคัญของแผ่นดินครั้งนี้
ยิ่งกว่านั้น เงิน 3,100 ล้านบาท ถ้าหากงานนี้ ได้ช่วยทำให้คนไทยเข้าถึง เรียนรู้ เข้าใจประเพณีวัฒนธรรม รากเหง้าของบ้านเมือง ภาคภูมิใจในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติไทย ก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
ต่อให้เข้าถึงคนไทยแค่ครึ่งเดียว ตีว่าสัก 31 ล้านคน ก็จะพบว่า ต้นทุนต่อคน คนละ 100 บาท ถือว่าคุ้มอย่างยิ่งสำหรับการใช้เงินแผ่นดิน คุ้มยิ่งกว่าเอาไปทำอย่างอื่นอีกมากมาย
หากคิดตามคนที่ตั้งโจทย์ ยังจะพบว่ามีส่วนที่เป็นกำไรด้วยซ้ำ คือ การเผยแพร่ความงดงามของพระราชพิธีและหัวใจที่ดีงามของ
คนไทย ออกไปยังสื่อต่างประเทศ มูลค่ามหาศาล
แตกต่างจากคนที่ตั้งโจทย์ หากตั้งใจจะทำอีเว้นท์ ลงทุนสร้างสตอรี่ เพื่อออกสื่อทั่วโลก จะต้องใช้เงินมหาศาลกว่านี้ แล้วที่สำคัญ คนทั่วโลกจะเห็นของเทียม ผิดกับครั้งนี้ คือของจริง คือสิ่งออกจากชีวิตจิตใจของคนไทยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นความเอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน การสละประโยชน์ส่วนตน การทำความดี การร้องไห้โศกเศร้า สะเทือนใจ
ล้วนออกจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริง
ส่วนที่ยังมีคนบางกลุ่มเอาไปเปรียบเทียบว่า จะมีการปลุกระดมสร้างกระแสความรู้สึกเหมือนเกาหลีเหนือหรือไม่? ก็อยากจะตอบว่า คนที่คิดเช่นนั้น ก็คิดคาดเดาไปเอง แต่ถ้าเข้ามาสัมผัสคนไทยหลายสิบล้านคนจริงๆ จะรู้ว่าคนไทยไม่โง่ที่จะมีใครมาสร้างอารมณ์ร่วมเช่นนี้ได้
ถ้าไม่มีแก่น หรือไม่มีบารมีของพระองค์ท่านที่ทรงคุณงามความดีตลอด 70 ปี จริงๆ ก็คงไม่สามารถสร้างจิตวิทยามวลชนเช่นนี้ได้
2. ในเมื่อประเทศไทยสูญเสียบุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่ไปแล้ว เราควรจะทำอย่างไร?
ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาล ข้าราชการ นักธุรกิจ ชนชั้นกลาง ประชาชนทั่วไป รวมทั้งผมเอง ก็คงต้องกลับมาคิดว่า ตอนที่เรามีบุคคลสำคัญ ท่าน
ได้ทำอะไรไว้บ้าง เมื่อสูญเสียท่านไปแล้ว เราจะรู้ว่า เราขาดอะไรไปบ้าง?
จากนั้น เราไม่ควรรอ “ตัวบุคคล” ที่จะมาทำแทนพระองค์ท่าน แต่เราควรจะลงมือทำในสิ่งที่เคยเป็นพระราชภาระของพระองค์ท่าน
สิ่งที่พระองค์ท่านทรงเคยทำ มีมากล้น ในทุกแวดวง
ในความเห็นของผม ซึ่งอยากจะชวนทุกท่านมาระดมและถกกัน อาทิ
1. พระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่างของประมุขของประเทศที่ติดดิน เข้าใจความทุกข์ยาก ความแตกต่างหลากหลายของคนในประเทศ เข้าใจชีวิตของผู้คนในระดับต่างๆ
2. ผมเห็นพระองค์ท่านใส่พระทัยเรื่องสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า ยั่งยืน ไม่เบียดเบียนทำลายโลก เคารพและเรียนรู้จากธรรมชาติ
3. พระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญกับสิทธิของประชาชนในการมีส่วนร่วมเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะในโครงการใดก็ตาม นั่นบอกถึงรากฐานประชาธิปไตย
4. พระองค์ท่านทรงดำเนินทั้งชีวิตและปรัชญาพอเพียง สอนให้เข้าใจความมีเหตุมีผล ไม่สุดโต่ง มีภูมิคุ้มกัน ถ้าขาดพระองค์ท่านแล้ว เราทำในเรื่องพวกนี้มากขึ้น ก็จะช่วยเติมเต็มชีวิตและสังคม เมื่อถึงคราวพระองค์ท่านจากไปแล้ว ว่ายังมีคนทำตามแบบแนวทางคำสอนของพระองค์ท่านอย่างเข้าใจจริงๆ
5. พระองค์ท่านทรงมองการณ์ไกล ทรงมองไปข้างหน้า สอนให้เราอยู่อย่างรู้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยในรัชสมัยของพระองค์ท่าน เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกมากมาย พระองค์ทรงเห็นการเปลี่ยนแปลงแต่แรก ไม่ว่าจะในทางเทคโนโลยี การเมืองระหว่างประเทศ ฯลฯ ทรงนำพาประเทศชาติข้ามชาติคลื่นของการเปลี่ยนแปลงมาได้อย่างรู้เท่าทันตลอด
ในเมื่อปัจจุบัน เกิดการก้าวกระโดดของเทคโนโลยี โดยเฉพาะดิจิตอล ซึ่งกำลังจะทำลายองค์กรเดิม การประกอบกิจการแบบเก่า หากไม่มีการปรับเปลี่ยนอย่างเท่าทัน แต่ถ้าเราใช้หลักแนวทางพระองค์ท่าน รู้จัก รู้ทัน รู้ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ ก็จะดำรงอยู่ได้ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่
สิ่งสำคัญที่คนไทยต้องตระหนัก คือ ต้องสานต่อพระราชภารกิจของพระองค์ท่าน ต้องใช้ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผลักดันประเทศไทยเดินต่อไปข้างหน้า สู่ความผาสุก มั่นคง ยั่งยืน ต่อไป
3. จากภาพปรากฏเป็นที่ประจักษ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมถือว่าเป็นฉันทามติแจ้งชัด ว่าประชาชนในชาติน้อมใจร่วมกัน เทิดทูนพระองค์ท่านเป็น “มหาราช” อย่างแท้จริง
หลังงานพระราชพิธี รัฐบาลสมควรจะดำเนินการเพื่อถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) อย่างเป็นทางการ
และเพื่อให้เกิดสิ่งเตือนใจกับสังคมไทยต่อไป เพื่อทำความดีเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปจากการสูญเสียบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ภาครัฐควรเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการเพื่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 9
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เคยเปิดเผยว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลก่อนๆ เคยเสนอพระองค์ท่านไปแล้ว พระองค์ท่านทรงมีรับสั่งว่าเป็นเรื่องของประชาชนและรัฐบาลที่จะทำต่อไป
“เป็นเรื่องของรัฐบาลและประชาชน จะต้องทำถวายพระองค์ท่าน ซึ่งรัฐบาลอยู่ในขั้นตอนตรงนี้อยู่แล้ว” นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์กล่าว บัดนี้ หลังงานพระราชพิธี คงถึงเวลาจะต้องดำเนินการ
น่าคิดว่า การจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 9 รูปแบบ สถานที่ตั้ง ตลอดจนแนวคิด ลักษณะประติมากรรม สถาปัตยกรรม เนื้อหาสาระ เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ เป็นที่ถวายสักการะ รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ อย่างเป็นทางการนั้น จะอยู่ที่ใด? และในรูปแบบใด?
พระบรมราชานุสาวรีย์นี้ จะมีคุณค่าและความหมายอย่างยิ่งยวด หากเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้จดจำ เรียนรู้ และสามารถน้อมนำแนวทางปฏิบัติไปลงมือทำเพื่อเติมเต็มการขาดกายไปของพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ตลอดไปนานเท่านาน
จะทำเป็นประติมากรรมรูปพระองค์ท่านล้วนๆ เหมือนพระบรมราชานุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 1 ที่เชิงสะพานพระพุทธฯ หรือของรัชกาลที่ 5 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า?
หรือจะทำเป็นอาคารสถาปัตยกรรมที่สามารถใช้ประโยชน์ในการเรียนรู้ด้วย เช่น พิพิธภัณฑ์ หอสมุด หอเกียรติยศ หอประชุม ฯลฯ
หรือจะดำเนินการในรูปแบบที่แตกต่างออกไปเลย เช่น ด้านบนเหนือพื้นดิน สร้างเป็นงานประติมากรรมของพระองค์ท่าน ส่วนด้านล่างใต้พื้นดิน ในชั้นใต้ดิน ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ แหล่งเรียนรู้ ลึก 2-3 ชั้น
ควรจะตั้งที่ใด? เชื่อว่า คงจะมีความคิดเห็นหลากหลาย เพราะทำเลที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์ มีความสำคัญมาก
ทำเลที่ตั้ง มีจุดที่น่าสนใจอยู่มากมาย เช่น หากคำนึงถึงทำเลในเชิงสัญลักษณ์ ตามประวัติศาสตร์ราชประเพณี จะเห็นว่า พระบรมราชานุสาวรีย์ของพระปิยมหาราช ร.5 ตั้งอยู่ถนนราชดำเนินนอก ตรงปลายสุดของถนน หากจะพิจารณาสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของมหาราช ร.9 ตรงแถวๆ ต้นทางถนนราชดำเนิน อยู่ใกล้ๆ สนามหลวง น่าจะงามสง่า โดยอยู่บนเกาะรัตนโกสินทร์ ผู้คนเดินทางสัญจรไป-มาสามารถกราบสักการะได้ และผังเมืองเหมาะสมสำหรับอาคารใต้ดิน 2-3 ชั้น โดยด้านบนเป็นงานประติมากรรมพระบรมรูปของพระองค์ท่าน จะมีความโดดเด่น ใกล้สนามหลวง ใกล้พระบรมมหาราชวัง
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการทั้ง 2 เรื่องนี้ ทั้งการถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” และการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างถูกต้อง สมพระเกียรติ ตามขนบธรรมเนียม ประเพณีปฏิบัติ และขั้นตอนของทางราชการต่อไป
ณ วันนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นมหาราช สถิตอยู่ในใจปวงมหาชนชาวไทย ชั่วนิรันดรกาล
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี