“นฤนาท ยอดอาจ”ผู้สื่อข่าว นสพ.แนวหน้า หนุ่มโสด ประจำรัฐสภา อธิบายการเมืองนับจากนี้ไปว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป หลายปี 2561 ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.แย้มไว้นั้น จะต้องจะต้องให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งบังคับใช้เสียก่อน ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 267
แล้วพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ มีที่มาและความสำคัญอย่างไรละ ?
อธิบายง่ายๆ คือกฎหมายลูก ที่มีศักดิ์ศรีเหนือกว่าพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ทั่วๆ ไป ซึ่ง พ.ร.ป.นี้ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า ให้ตราเป็นกฎหมายบังคับใช้ภายในระยะเวลาที่กำหนด เพราะเหตุที่รัฐธรรมนูญไม่สามารถจะกำหนดรายละเอียดปลีกย่อยในทุกเรื่องได้ เพราะจะทำให้รัฐธรรมนูญยาวเกินไป จึงจำเป็นที่จะต้องมี พ.ร.ป. เพื่อใช้บังคับควบคู่กับหลักการตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เช่น บทบัญญัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็มีการกำหนดกรอบกว้างๆ เอาไว้ในมาตรา 83-106 ส่วนรายละเอียดของวิธีการเลือก สส. ก็จะต้องออกเป็น พ.ร.ป. อีกต่อหนึ่ง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญด้วย
พ.ร.ป. ถูกนำมาใช้นานแล้วในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภาคพื้นยุโรป เช่น ในประเทศฝรั่งเศส ที่มีกระบวนการตราเป็นพิเศษที่ซับซ้อนใช้เวลานานกว่ากระบวนการตรากฎหมายธรรมดา รวมทั้งจะต้องถูกตรวจสอบโดยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญก่อนที่จะประกาศใช้ ทั้งมีการกำหนดชื่อเฉพาะ ขอบเขตเนื้อหาเฉพาะ และมีกระบวนการตราพิเศษกว่ากฎหมายธรรมดา
ส่วนในประเทศไทยมีปรากฏขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกในช่วงการเรียกร้องปฏิรูปการเมือง โดยบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวกำหนดให้มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญรวม 8 ฉบับ ต่อมา ในรัฐธรรมนูญ 2550 ได้บัญญัติให้มี พ.ร.ป. จำนวน 9 ฉบับ และในรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันนี้ ก็กำหนดให้มี พ.ร.ป. เป็นจำนวน 10 ฉบับด้วยกัน โดยทางคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มี อ.มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. เป็นผู้รับผิดชอบ
เพราะถ้าขืนปล่อยให้บรรดานักการเมือง จัดทำร่าง พ.ร.ป. เองแล้ว อาจจะซ้ำรอย รัฐธรรมนูญฉบับถาวร 2 ฉบับก่อนหน้า ที่บัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการร่าง แต่ปรากฏว่า นักการเมืองก็ไม่ได้นำพาเสียเท่าไหร่ เพราะไม่มีบทบัญญัติควบคุมลงโทษ จนกระทั่งถูกคณะผู้ยึดอำนาจทำการฉีกรัฐธรรมนูญ และมอบหมายให้ กรธ. เดินหน้าอยู่ในขณะนี้
ซึ่งหากจะเช็คถึงสถานะของ พ.ร.ป. จนถึงเวลานี้ ก็ปรากฏว่ามี พ.ร.ป. ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ใช้บังคับแล้ว 3 ฉบับแรก คือ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประกาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน และ สดๆร้อนๆ ก็คือ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง เพิ่งประกาศใช้ในวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ส่วน 2 ฉบับถัดมา ก็คือ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน และ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) อยู่ในขั้นที่ สนช.ส่งให้กับรัฐบาลแล้ว
ส่วน พ.ร.ป. ที่เหลืออีก 5 ฉบับ ก็มีสถานะที่แตกต่างกันก็คือ พ.ร.ป.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน ผ่านวาระ 3 ของการพิจารณาในที่ประชุม สนช.แล้ว พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ อยู่ในขั้นผ่านวาระ 1 ของที่ประชุม สนช.แล้ว พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) อยู่ในขั้นเตรียมเข้าที่ประชุม สนช.ในวาระ 1 โดย กรธ.จะส่งพ.ร.ป.ดังกล่าวให้สนช.ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ พ.ร.ป..ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) อยู่ชั้นที่ กรธ. รอส่งเรื่องไปยังที่ประชุม สนช.เพื่อเข้าพิจารณาในวาระ 1 ในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ และ สุดท้าย พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อยู่ชั้นที่ กรธ. รอส่งเรื่องไปยังที่ประชุม สนช.เพื่อเข้าพิจารณาในวาระ 1 ในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น จะขออนุญาตฉายภาพให้ชัดเจนว่า พ.ร.ป. บางฉบับมีเนื้อหาสาระที่สำคัญอย่างไร และประกอบกับมาตราใด ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 บ้าง
เริ่มจาก 1) พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีสาระสำคัญคือ ให้มีกกต. 7 คน โดยมีวาระ 7 ปี มีอำนาจหน้าที่เพิ่มขึ้นจากเดิม อาทิ กกต.มีอำนาจจัดการเลือกตั้งสส. สรรหา สว. มีอำนาจในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นและการออกเสียงประชามติ ไม่ให้มีกกต.จังหวัดแต่ให้มีผู้ตรวจการเลือกตั้งจำนวน 5-8 คนขึ้นมาแทน ซึ่งประกอบกับมาตรา 222-227 ที่ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง
2) พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถประทับรับฟ้องและพิพากษาคดีลับหลังจำเลยที่หลบหนีได้ โดยไม่นับอายุความกรณีจำเลยหลบหนีคดีที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของศาล เป็นต้น ซึ่งประกอบในหลายๆมาตรา ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและการปราบปรามการทุจริต
3) พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มีสาระสำคัญคือ บุคคลซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองในแนวทางเดียวกัน จํานวนไม่น้อยกว่า 500 คนอาจร่วมกันดําเนินการเพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองได้ เพื่อประโยชน์ในการดําเนินการของพรรคการเมือง พรรคการเมืองต้องมีทุนประเดิมไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท กําหนดให้สมาชิก มีส่วนร่วมในการคัดเลือกด้วยอย่างกว้างขวาง ในการส่งผู้สมัคร สส. และรายชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ฯลฯ ซึ่งประกอบในบทบัญญัติหมวดรัฐสภา หมวดคณะรัฐมนตรี เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า กระบวนการที่ทาง กรธ. ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้การร่าง พ.ร.ป. ต้องดำเนินการให้เสร็จภายในกรอบ 240 วัน
ส่วนที่มีการฟันธงว่า “เลื่อน” หรือ “ไม่เลื่อน” เลือกตั้ง หากมีอุบัติเหตุในขั้น พิจารณา พ.ร.ป.นั้น นอกจากเหตุที่ในรัฐธรรมนูญ ไม่ได้กำหนดไว้ว่า หากร่าง พ.ร.ป. ไม่ผ่าน จะให้ทำเช่นไรแล้ว ยังมีมาตรา 268 ซึ่งเป็นการครอบคลุมเอาไว้อีกชั้นหนึ่งว่า ให้ดําเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ให้แล้วเสร็จ ภายใน 150 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ มีผลบังคับใช้แล้ว
นั่นหมายความว่า เมื่อเอาระยะเวลา การพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นับจากกำหนดที่ กรธ. จะส่งมายัง สนช. ในวันที่ 28 พฤศจิกายนนั้น บวกระยะเวลาเบ็ดเสร็จรวมทั้งการตรวจทาน ตั้งกรรมาธิการ 3 ฝ่าย แล้วนำกลับไปให้ สนช. พิจารณาใหม่อีก 85 วัน ทาง สนช. ก็จะส่งร่างฯ ให้ทางรัฐบาลในช่วงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ หลังจากนั้น ก็นับเวลาไปจนถึงปลายปี 2561 ประชาชนก็จะได้มีอำนาจเต็มในการเลือกคนดีมาทำหน้าที่ในสภา ตามหลักการของกฎหมายแม่ (รัฐธรรมนูญ) และกฎกติกาของกฎหมายลูก (พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ)
ดังนั้น พ.ร.ป. จึงถือเป็นกฎหมายสำคัญ ที่ทุกคนควรรู้และศึกษาไว้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี