ชาวไทยเราเรารู้จักจีนแผ่นดินใหญ่กันมายาวนาน ในหลายแง่หลายมุม มากน้อยแตกต่างกันไป ซึ่งต่างคนต่างรู้จักแล้ว จะมีความชื่นชม ชื่นชอบ ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ซึ่งปัจจุบัน เรื่องที่คนไทยรับรู้ตรงกันอีกเรื่อง คงเป็นเรื่องนักท่องเที่ยวจีนหลั่งไหลเข้ามาไทย เป็นอันดับหนึ่ง มีความสำคัญยิ่งต่อธุรกิจท่องเที่ยวของไทยและต่อรายได้โดยรวมของประเทศ ชนิดที่เรียกได้ว่า นักท่องเที่ยวจีนมีอิทธิพลสามารถชี้เป็นชี้ตายต่อเศรษฐกิจและธุรกิจท่องเที่ยวของไทยได้ไม่น้อย และนั่นเป็นอำนาจต่อรองของจีนต่อไทยอันสำคัญ
ผู้นำไทยหรือผู้ปกครองบริหารประเทศก็ตระหนักดีในเรื่องนี้ และเกรงจีนอยู่ในนัยว่า ถ้าดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับจีนแล้ว จะกระทบกระเทือนต่อธุรกิจท่องเที่ยวอย่างทันทีทันควัน และกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมในระยะสั้นและปานกลางได้ ผู้นำไทยจึงไม่ประสงค์ให้รัฐบาลจีนจำกัดการหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน
เนื่องจากมีตัวอย่างให้เห็น จากกรณีที่รัฐบาลจีนไม่สบอารมณ์ ไม่โอนอ่อนกับประเทศหนึ่งใด ไม่ว่า ไต้หวัน ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ก็สามารถปิด-เปิดก๊อกการหลั่งไหลของจำนวนนักท่องเที่ยวได้ เราจึงเห็นได้ว่า ท่าทีรัฐบาลไทยชุดนี้จึงดูเงียบเฉยต่อความเป็นไปในภูมิภาค หากมีจีนเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือเป็นคู่กรณี เช่น เรื่องข้อพิพาทเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเล เราจึงไม่เห็นการแสดงความห่วงใย ห่วงกังวลต่อมิตรประเทศ โดยเฉพาะประเทศผู้ร่วมเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียนกับไทยด้วยกัน
นอกจากนั้น จีนซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำหลักๆ ของชมพูทวีปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น แม่น้ำโขง ก็ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจที่จะเปิดเผยข้อมูลว่า ทำอะไรบ้างในแม่น้ำโขงตอนบน ไม่ปรึกษาหารืออะไรกับบรรดาประเทศที่อยู่ปลายน้ำลงมา(ไทย ลาว เมียนมา เวียดนาม กัมพูชา) ซึ่งดูเหมือนกับทำแบบตามอำเภอใจ ในกรณีนี้ รัฐบาลไทยก็ยังคงสงบเสงี่ยมเจียมตัว และไม่คิดจะกระชับกับประเทศอาเซียนในแม่น้ำโขงตอนล่าง เพื่อประสานท่าทีเจรจาต่อรองให้จีนประพฤติตนอย่างโปร่งใส ด้วยมิตรไมตรี
ส่วนทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยก็ดูเกรงอกเกรงใจจีนแผ่นดินใหญ่เรื่องที่ไทยจะกระชับความร่วมมือกับสาธารณรัฐจีนเกาะไต้หวันให้แน่นแฟ้น เพื่อผลประโยชน์ยิ่งขึ้นของไทย ด้วยว่าไต้หวันก็มาลงทุนในไทยมาช้านาน ได้ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและขยายตลาดแรงงานไทย และ ณ วันนี้ไต้หวันได้พัฒนาตนเองเข้าระดับประเทศพัฒนาแล้ว(developed country) ไต้หวันก็มีของดีจะให้และแบ่งปัน โดยเฉพาะเรื่องการแพทย์-สาธารณสุข การศึกษาวิจัยค้นคว้าการเกษตร เทคโนโลยีสื่อสาร ชีวภาพ และการบริหารจัดการต่างๆที่ดีเช่น เรื่องฟื้นฟูรักษาป่าไม้ และทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยต้องการและอยู่ในกรอบของนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่ระดับ 4.0
มาบัดนี้ จีนแผ่นดินใหญ่มีนโยบายเชื่อมโยงพัฒนาเรียกว่า One Belt One Road ขณะที่ไต้หวันมีนโยบายเชื่อมโยงพัฒนาเรียกว่า New South Bound Policy – NSP(ลงสู่ทางตอนใต้) เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ เลยขึ้นกับว่า รัฐบาลไทยจะทำตัวอย่างไร ในการเปิดกว้าง เปิดใจ หาประโยชน์จากความร่วมมือกับไต้หวัน แทนที่จะติดอยู่กับการกำกับของจีนอย่างเดียว เสมือนว่าพร้อมจะโอนอ่อนคล้อยตามเป็นลูกสมุนจีน ที่มาในรูปแบบนายหน้าค้าอาวุธ นักมิตรสัมพันธ์ไทย-จีนที่ใช้เป็นโอกาสในการช่วยทำมาหากินเพื่อตนเอง หรือนักคิดนักวิชาการที่พร้อมร่วมมือเพราะเห็นแก่ทุนของจีน แต่ไม่ได้ตอบสนองผลประโยชน์ของไทยอยางแท้จริง
อีกทั้งนักธุรกิจของจีน ต่างก็เข้าออกไทยเพื่อมากว้านซื้อผลิตผลทางเกษตรแบบไม่มีกติกา ไม่มีหลักมีเกณฑ์ หรือบางกลุ่มทุนก็ไล่กว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อแปรสภาพให้เป็นอาณาเขตเมืองจีนเล็กๆ แล้วครอบงำเศรษฐกิจระดับกลาง และล่างไปเสียหมด
ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ไทยเรา โดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้จักได้ทบทวนความสัมพันธ์ไทย-จีน ให้มีความสมดุลเรื่องผลประโยชน์ และจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง ให้มีความโปร่งใสและยุติธรรม โดยยืนอยู่บนประโยชน์ของประเทศชาติและชาวไทยเป็นสำคัญ ไม่ใช่ทำตัวแบบเกรงอกเกรงใจ หรือแค่พึงพอใจกับตัวเลขสถิติใดๆ ที่มีประโยชน์เพียงใช้ประกาศผลงานเพียงเท่านั้น
ในขณะเดียวกันไทยเราต้องใช้ความสามารถในการเพิ่มความหลากหลายทางแหล่งที่มาของนักท่องเที่ยว ไม่ใช่คิดเพียงตีกินอยู่กับนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลักเพียงประเทศเดียวเท่านั้น อีกทั้งเราก็ต้องทบทวนการยกเลิกค่าวีซ่า ทำให้ขาดรายได้ไปมากมาย และการหลั่งไหลแบบไม่มีการกลั่นกรองต่อความมั่นคง สังคม ชุมชน ประเพณีวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ไทยจึงควรกลับไปเก็บค่าวีซ่าเพื่อนำไป ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของบ้านเมือง ปรับปรุงระบบการเข้าเมืองและพัฒนาการท่องเที่ยวโดยรวม
ความรู้สำนึกคิดที่ไม่ชอบพวกฝรั่งมังค่า นั้นพอเข้าใจได้ เพราะเรามีอดีตจากลัทธิล่าอาณานิคม รวมถึงการครอบงำทั้งความคิด วิถีชีวิต เศรษฐกิจการค้า การตั้งเงื่อนไขสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมต่างๆ แต่มิได้หมายความว่า เมื่อปฏิเสธฝ่ายตะวันตกแล้ว ต้องมาอยู่ในอาณัติจีนแผ่นดินใหญ่เบ็ดเสร็จ
ยังไงก็อย่าลืมว่า โดยทางปฏิบัติแล้ว เขาก็ยังคงเป็นรูปแบบเผด็จการ ซึ่งย่อมจะชอบรัฐบาลที่ดำเนินการด้วยวิธีครอบงำเช่นกัน
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้บอกว่าต้องเลิกคบจีน หันกลับไปซบตะวันตก แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยต้องแสดงฝีมือทางการทูตว่าไทยสามารถคบได้ทั้งสองฝ่ายและได้รับประโยชน์จากทั้งสองฝั่งอย่างคุ้มค่า นั่นคือต้องเล่นให้เป็น แยกแยะให้ถูกต้อง และที่สำคัญจะคบใครก็ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของไทยว่า เราเป็นประเทศเอกราชอย่างภาคภูมิใจ การดำรงประเทศ ต้องเป็นไปในลักษณะเป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของประเทศมหาอำนาจใดๆ และคบใครก็เป็นมิตรประเทศได้ทั้งสิ้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี