(ต่อจากสัปดาห์ก่อน)
เดนิส เกรย์ บรรยายไว้ในสารคดีเชิงข่าวเรื่อง Thailand’s working Royals ว่า เมื่อคราวตามเสด็จในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงแก้ปัญหาชาวเขาที่ดอยอ่างขาง พระองค์ทรงอธิบายแก่สื่อต่างประเทศว่า การแก้ปัญหาจากชนบททุรกันดาร เป็นยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “ให้ยาป้องกัน” พระองค์ตรัสว่า
“เวลาออกเยี่ยมเยียนประชาชน ดูเหมือนว่าเราไม่ปฏิบัติตามแผนการที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เราแยกกันออกทำงานเป็นสี่กลุ่ม ลูกสาวคนเล็ก เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯนั่น เขาเรียนจบมาทาง biochemist ก็เสด็จร่วมไปกับคณะแพทย์อาสาฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เขาเก่งหลายด้านและเป็นที่นิยมชมชอบ โดยเสด็จกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ แยกไปทำโครงการช่วยเหลือแม่บ้าน ชาวไร่ ชาวนายากจนมีรายได้น้อยส่วนนั้นเน้นไปที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือน สอนแม่บ้านสร้างงานฝีมือ สอนการเย็บปักถักร้อย สอนให้สร้างงานฝีมือ เช่น ทำกระเป๋า หรือเครื่องใช้ในบ้านจากย่านลิเภา ฯลฯ
สมเด็จพระราชินี ตรัสว่า ช่วยเหลือ “น้องสาว ลูกสาวชาวนา” ให้พวกเขาพ้นทุกข์ พวกเขาแบกทุกข์ตั้งแต่เรื่องส่วนตัวของผู้หญิง เรื่องหาได้ไม่พอกิน ทุกข์เรื่องญาติพี่น้องที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐข่มเหงรังแก จนต้องหนีเข้าป่าจับปืนร่วมรบกับคอมมิวนิสต์ทั้งๆ ที่ยังรักในหลวง..”
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร) ทำหน้าที่นายทหารรักษาความปลอดภัย ตรวจตราแผนงานรักษาความปลอดภัย ติดตามรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ที่เสด็จพระราชดำเนิน และทุกครั้งที่โอกาสอำนวยก็ตามเสด็จพระราชดำเนินอย่างใกล้ชิด เพื่อได้ศึกษาวิธีทำงานเตรียมพระองค์เจริญตามรอยพระบาทเสด็จพ่อ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองทรงรับผิดชอบวางแผน ดูแลแก้ไขปัญหา พัฒนางานด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดูแลบริหารจัดการน้ำ การสื่อสารคมนาคม เทคนิคการทำนาปลูกข้าว ครั้งหนึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสรับสั่งต่อผู้ชำนาญการกระทรวงเกษตรฯผู้ตามเสด็จขณะพระองค์สำรวจพื้นที่ว่า “ลงมือทำเลย ทำงานตามสภาพความเป็นจริงที่อำนวยให้ทำได้ รอผู้เชี่ยวชาญนักวิชาการต้องใช้เวลานานมากในการศึกษาวางแผนเตรียมการ...“อย่าไปคิดว่าขวาน พลั่ว จอบเสียม เขาเลิกใช้กันไปแล้ว เพราะไม่ใช่ทุกคนมีปัญญาซื้อรถแทรกเตอร์ นอกจากนายทุนใหญ่ และพวกนั้นเขาก็ไม่ใส่ใจชาวบ้านธรรมดาสามัญ...ลงไปหาชาวบ้านช่วยกระตุ้นแนะนำปลุกเร้าพวกเขา อย่าติดอยู่กับอยู่ระบบราชการมาก มันล่าช้าอุ้ยอ้าย..”
หลังจากการตามเสด็จที่ใช้เวลาและพลังงานมากอย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ พวกเรามีโอกาสได้เห็นอีกมุมหนึ่งของชีวิตในพระราชสำนัก หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย รถยนต์มารับพวกเราจากโรงแรม แล่นตามถนนคดเคี้ยวไต่ลาดเนินเขาความสูง 1,300 เมตร เหนือน้ำทะเลขึ้นดอยสุเทพ มุ่งหน้าไปยังพระราชตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เป็นตำหนักกลางป่าที่พระองค์มักทรงงานในหน้าหนาว
เฮลิคอปเตอร์ได้ส่งพระเจ้าอยู่หัวและสมาชิกครอบครัวของพระองค์ถึงพระตำหนักตั้งแต่เวลา 20.30 น.หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พระราชอาคันตุกะประมาณหนึ่งร้อยคนก็เดินทางมาถึง พระเจ้าอยู่หัวทรงสูทสีน้ำเงินเข้ม สมเด็จพระนางเจ้าฯ เปลี่ยนจากชุดสูทคล่องตัวเมื่อตอนเสด็จดอยตุงมาเป็นชุดไหมไทย เสด็จพระราชดำเนินบนผืนพรม สิริโฉมยิ่งนัก ห้องโถงรับรองประดับแต่งเรียงรายไปด้วยแจกันเครื่องลายคราม ภาพวาดสีน้ำมัน ติดบนผนังอย่างมีรสนิยม บรรยากาศน่าอภิรมย์ เหมาะสมกับการนั่งสนทนาอย่างสบายอารมณ์ แต่พระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระราชินีฯเสด็จพระราชดำเนินไปทักทายอาคันตุกะคนโน้นมีกระแสพระราชดำรัสกับคนนี้ กระแสพระราชดำรัสแว่วผ่านมาถึงหูพวกเราพอจับความได้จากการสนทนาคือ“...เขื่อนและฝายกักน้ำ..ดินดาน..ปุ๋ย...”
เมื่ออาหารว่างและถ้วยกาแฟถูกยกออกไปจากโต๊ะ สมเด็จพระราชินี ทรงยกกระเป๋าถือสตรีที่ทำจากย่านลิเภาสามใบและเหยือกใส่น้ำทำด้วยเงินแกะสลักลวดลายประณีต ฝีมือของหญิงชาวเขาที่ผ่านการฝึกอาชีพมาเพียงสี่ปี วางบนโต๊ะกระบวนการเสนอขายสินค้าจากงานฝีมือชาวเขาก็เริ่มขึ้น พระราชินีตรัสกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และผู้ร่วมโต๊ะเสวยถึงความจำเป็นที่ต้องอนุรักษ์งานฝีมือพื้นบ้านเหล่านี้เอาไว้ ซึ่งในเวลาเดียวกันก็ต้องช่วยหาตลาดให้ชาวเขาที่สร้างงานฝีมืออันวิจิตรเหล่านี้ นอกจากช่วยให้พวกเขามีรายได้เสริมแล้วยังลดปัญหาคนตกงานได้ระดับหนึ่ง
“ฉันคิดว่าพระราชินีได้บอกกับพวกท่านแล้วว่า พวกเราไม่มีชีวิตที่เป็นส่วนตัว” พระเจ้าอยู่หัวตรัสตอนที่พระราชทานสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ ในโลกของความเป็นจริง ครอบครัวของพระเจ้าอยู่หัวพูดได้ว่ามั่งคั่งและมีรสนิยม ท่านทรงได้รับการศึกษามาจากสถาบันที่มาตรฐานสูงระดับโลก ถ้าพระองค์ท่านทรงจะเลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย หรูหราในสังคมชั้นสูง ก็ไม่ต้องทรมานพระวรกายเช่นนี้ พระราชวังในกรุงเทพฯมีคูคลองล้อมรอบรั้วกำแพงพระราชวังบนพื้นที่กว้างหนึ่งตารางกิโลเมตร พระราชวังที่หลังรั้วกำแพงในอาณาบริเวณมีโรงนา มีโรงสีข้าว มีคอกปศุสัตว์ มีโรงผลิตนมเด็ก มีโรงเรียน ฯลฯ แต่ไม่มีสิ่งที่หรูหราเอิกเกริกดังตำนานของปราสาทราชวัง ที่มีปราสาทราชมณเฑียรมีพระที่นั่งบัลลังก์ทองในท้องพระโรงออกมหาสมาคม ที่ประทับของพระองค์ท่านก็เรียบง่าย ห่างไกลจากจินตนาการของพระราชวังที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินมาก
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลกับพระราชินีสิริกิติ์ มีความเพียรขัตติยะมานะ จดจ่ออยู่กับการช่วยเหลือประชาชน พัฒนาประเทศ ยกระดับความเป็นอยู่ของพสกนิกรให้สูงขึ้น ใช่ว่าพระอัจฉริยภาพด้านอื่นๆ จะด้อย พระเจ้าอยู่หัวทรงสำเร็จการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ ตรัสได้คล่องแคล่วถึงห้าภาษา วาดภาพสีน้ำมันได้อย่างมีชีวิตชีวา เป็นช่างภาพฝีพระหัตถ์เอก เป็นช่างไม้ที่ต่อเรือด้วยพระองค์เองและเป็นนักกีฬาแข่งขันระดับสากล แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ สองพระองค์ทุ่มเทให้น้อยกว่าการช่วยเหลือประชาชน อย่างไรก็ตามพระเจ้าอยู่หัวยังคงรักและหลงใหลในดนตรีแจ๊ส สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสำเร็จการศึกษาจากสถาบันดนตรีอาชีพในประเทศแถบยุโรป แต่น่าเสียดายที่บทเพลงบีโทเฟนและโมซาร์ตของพระองค์ขึ้นสนิมไปหมดแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าพระองค์แทบหาเวลาประทับนั่งหลังเปียโนไม่ได้เลย
ระหว่างพระราชทานสัมภาษณ์พวกเราถามว่า “ฝ่าพระบาทคิดว่า โครงการไหนที่ทำให้พระองค์มีความสุขที่สุด..”
“บาเจาะ” พระองค์ตรัสตอบ ป่าพรุ กว้างในอำเภอบาเจาะ จ.นราธิวาส เป็นแหล่งทำมากินของชาวบ้าน หาปลา ผักหญ้าเป็นที่เลี้ยงปศุสัตว์ แต่หน้าฝนทุกปี น้ำในป่าพรุบาเจาะเอ่อล้นออกมาท่วมเรือกสวนไร่นา ทรัพย์สินชาวบ้านเสียหาย พ.ศ.๒๕๑๖ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จป่าพรุบาเจาะ พบว่าเป็นพื้นที่ลุ่มชุ่มน้ำตลอดปี หลังจากศึกษาจากแผนที่ พระองค์ทรงแนะนำให้ขุดคลอง ๕-๖ กม. เพื่อขับน้ำจากป่าพรุลงทะเล “พระเจ้าแผ่นดินทำได้เพียงแนะนำ ไม่มีอำนาจสั่งการ” พระองค์ทรงอธิบาย
“เดือนมกราคม ๒๕๑๗ เราอยู่ที่เชียงใหม่ ได้ยินข่าวน้ำท่วมหนักทั่วภาคใต้เรากังวลมาก” พระองค์ทรงเล่าความหลัง “แล้ววันหนึ่งอธิบดีกรมชลประทาน ท่านที่ตามเราไปทำงานในภาคใต้ วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาเปียกโชกทั้งตัวร้อง “สำเร็จแล้วๆ” “เราถามว่า อะไรสำเร็จ” เขาตอบว่า “โครงการขับน้ำออกจากป่าพรุบาเจาะประสบความสำเร็จใหญ่หลวง เวลานี้ชาวบ้านดีใจมาก” โครงการในพระราชดำริขุดคลองขับน้ำออกจากป่าพรุบาเจาะสร้างคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวง นอกจากน้ำไม่ท่วมทุกปี บางพื้นที่ที่เคยซับน้ำกลายเป็นพื้นที่โคก ให้ชาวบ้านใช้เป็นที่เพาะปลูกทำการเกษตรได้หลายร้อยไร่
ปฐมพระบรมกษัตริย์ราชวงศ์จักรี เคยทำสงครามขับไล่อริราชศัตรูผู้รุกรานพ้นราชอาณาจักร และบูรพกษัตริย์เคยทำสงครามการใช้วิธีการทูตอันล้ำลึก นำประเทศไทยรอดพ้นมาจากการตกเป็นอาณานิคมตะวันตก พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล เห็นภัยอันตรายจากคอมมิวนิสต์ พระองค์จึงทุ่มเทพระวรกายทรงงานหนักถึงเพียงนี้จึงป้องกันอันตรายไว้ได้
“เป็นอันตราย” พระองค์ทรงอธิบาย “คอมมิวนิสต์เป็นอันตรายที่เปิดเผย แต่ความโลภที่อยู่ในตัวคนอันตรายกว่า ถ้าเราขัดแย้งแก่งแย่งกันมันจะทำลายเรา และเราจะกลายเป็นทาสในสิ่งที่เราเรียกว่า “จักรวรรดินิยมใหม่” “จะมาในรูปคอมมิวนิสต์ เผด็จการหรืออะไรก็ตาม”
(อ่านต่อตอนหน้า)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี