“อักโกธะ” แปลว่า “ความไม่โกรธ” เป็นหนึ่งในธรรมะหมวด “ทศพิธราชธรรม” ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงบำเพ็ญให้เป็นแบบอย่างนับเป็นสิ่งสำคัญที่คนไทยทั้งหลายพึง “เจริญรอยตาม”ให้แน่วแน่ ทั้งนี้ หากทำได้โดยพร้อมเพรียง ความสงบสุขของใจและความสงบสุขของชาติ ย่อมบังเกิดขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน
“อักโกธะ” แปลว่า ความไม่โกรธ คือ กิริยาที่ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ตลอดถึงไม่พยาบาทมุ่งร้ายผู้อื่น แม้จักต้องลงโทษผู้ทำผิด ตำหนิผู้ทำผิด ก็ทำตามเหตุผล มีเมตตาประจำจิตใจ ไม่ทำด้วยอำนาจของความโกรธ มีจิตใจสุขุมเยือกเย็น
คนผู้อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง เมื่อข่มใจไว้ไม่ได้ เกิดโกรธเคืองต่อกันขึ้น และผูกเวรไว้ ก็เป็นสาเหตุให้เกิดโทสะ คือความประทุษร้ายกันทางใจก่อน แล้วลุกลามไปทางกาย วาจาเรียกว่าพยาบาท ทำให้อยู่ด้วยกันไม่เป็นสุข ต่อเมื่อรักษาใจข่มใจไว้ไม่ให้โกรธเกิดขึ้น หรือเมื่อเกิดโกรธขึ้นในใจ ก็ระงับไว้ไม่แสดงออกมาให้ปรากฏ ก็อยู่ด้วยความสงบเรียบร้อย ร่มเย็นเป็นสุข แต่หาได้ปล่อยปละละเลยเพิกเฉยที่จะชี้ถูกชี้ผิดไม่
ความไม่โกรธจักมีได้ก็เพราะมีเมตตา หวังความสุขความเจริญแก่ตนและต่อกันและกัน
คนที่เป็นหัวหน้าปกครอง หรือเป็นผู้อยู่ในปกครองก็ตาม เมื่อแสดงความโกรธออกมาให้ปรากฏก็แสดงว่าตนเองลุอำนาจของความโกรธ กิริยาที่แสดงความโกรธออกมานั้นก็ไม่งาม ต้องรู้จักเหตุ รู้จักผล มีเมตตาประจำใจ ไม่เกรี้ยวกราดปราศจากเหตุผล ต้องกระทำด้วยจิตอันสุขุมเยือกเย็น ละเอียดรอบคอบ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงมีพระราชอัธยาศัยประกอบด้วยพระเมตตา แม้แต่ข้าราชบริพารในราชสำนักซึ่งรับราชการสนองพระเดชพระคุณอย่างใกล้ชิดนับสิบๆ ปี ก็ไม่เคยประสบพระราชอัธยาศัยทรงพระโทสจริตเกรี้ยวกราดผู้หนึ่งผู้ใด พระราชธรรมข้อนี้ได้ถูกทดลองเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนต่างประเทศเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2505 เมื่อเสด็จฯ ไปในพิธีทูลเกล้าฯถวายปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ณ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ทรงถูกท้าทายจากนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่มีความคิดรุนแรง และไม่เข้าใจพระองค์และเมืองไทยดี ถือป้ายที่มีข้อความกล่าวร้ายต่อพระองค์ท่าน บ้างก็ส่งเสียงโห่ลบหลู่พระเกียรติและเกียรติภูมิของชาติไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเปี่ยมไปด้วยพระราชธรรมอักโกธะข้อนี้เป็นอย่างยิ่ง ไม่ทรงปรารถนาก่อภัยก่อเวรให้ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ทรงพระพิโรธด้วยเหตุที่ไม่ควร แม้มีเหตุให้ทรงพระพิโรธ แต่ก็ทรงข่มเสียได้ ให้สงบระงับอันตรธานหายไป สร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็นอย่างมิรู้ลืม
มาบัดนี้เล่า คนไทยโกรธกันเป็นฟืนเป็นไฟ และแสดงความโกรธออกมาอย่างมิรู้ยับยั้ง ด่าทอกันเรื่องการจัดการงานวางดอกไม้จันทน์ไม่เรียบร้อย ลุล่วง ด่าทอกันเรื่องการเข้าชมพระเมรุมาศที่ไม่มีวินัย ไม่มีการสำรวมอาการ ทั้งด่าทอชาวต่างชาติบางกลุ่ม ที่ตั้งคำถามถึง “ความคุ้มค่า” ต่องานพระเมรุมาศและพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ด้วยผรุสวาจา แม้ตั้งอยู่บนความมีเหตุมีผล แต่ก็มิได้กลั่นกรองถ้อยคำและสงบระงับมันอย่างที่ควรจะทำ นำมาซึ่งฟืนไฟลุกโชติช่วงทั่วไปในสังคมไทยเวลานี้
เฉพาะเรื่องการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพเสียก่อน มีข้อเขียนของเพจในเฟซบุ๊คชื่อ “25 ปี ที่ทำงานโรงเรียนนานาชาติ” เล่าเรื่องการแลกเปลี่ยนถกเถียงที่ “เจริญด้วยสติและปัญญา” น่าเรียนรู้ยิ่งว่า
“...สองอาทิตย์ก่อน ห้องเรียนภาษาและวัฒนธรรมไทย ได้มีโอกาสนำเรื่องราวพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นหัวข้อพูดคุยแลกเปลี่ยนในชั้นเรียน เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนต่างชาติซึ่งมีอายุราว 8 ขวบ ได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระราชพิธีอันสำคัญยิ่งนี้
...เราเริ่มด้วยการดูภาพพระเมรุมาศและภาพอื่นๆที่เกี่ยวข้องตามด้วยการแลกเปลี่ยนแลกเปลี่ยนแบ่งปันสิ่งที่พวกเขารู้ พลันห้องเรียนก็เต็มไปด้วยบรรยากาศของการพูดคุยของเด็กๆ
...เด็กชายชาวอังกฤษคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ในประเทศของเขา ถ้าบ้านไหนมีคนตาย จะมีรถบรรทุกมารับศพไปฝังที่สุสาน เขาเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังและเป็นขั้นเป็นตอนให้เพื่อนๆที่ฟังอย่างตั้งใจ
...ดูเหมือนเด็กๆ ทุกคนมีเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีงานศพของประเทศตนมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกันทั้งนั้น
...เด็กชาวชายฮ่องกงและจีนเล่าว่า หากมีคนตายในประเทศของเขา จะนำศพไปฝังยังสุสานเท่านั้น ไม่มีการเผาศพอย่างแน่นอน น้ำเสียงของสองคนนี้บ่งบอกว่า “พวกเรามั่นใจมากครับ”
...นักเรียนชายชาวจีนสิงคโปร์เล่าว่าในประเทศของเขา มีการเผาศพเหมือนกับในประเทศไทย เพียงแต่สถานที่และการจัดการนั้นจะเป็นสัดส่วนในที่มิดชิดและดูขั้นตอนจะกระชับมากกว่า(ฟังจากที่เขาเล่ามา)
...เด็กชายสองคนจากอินเดียกล่าวว่า พ่อแม่เล่าให้เขาฟังว่า ในบ้านเกิดของเขา เมื่อมีการเผาศพแล้ว จะนำเถ้าธุลีไปโปรยยังแม่น้ำยมุนาและแม่น้ำคงคา
...เราคุยกันต่อไปว่า ดูเหมือนพิธีเผาศพ จะพบแต่ในแถบเอเชียเท่านั้น แล้วทางประเทศตะวันตกล่ะ มีการเผาศพไหม
...นักเรียนหญิงจากเนเธอร์แลนด์เปี่ยมด้วยความมั่นใจบอกทุกคนว่าในประเทศของเธอมีการเผาศพแน่นอน เพราะเธอเพิ่งไปงานศพของญาติคนหนึ่งที่เลือกให้จัดการศพของเขาโดยการเผา
...ฉันเลยได้โอกาสเพิ่มเติมไปว่า ปัจจุบันนี้มีคนหลายเชื้อชาติ หลายความเชื่อกระจายอาศัยอยู่ทั่วโลก ฉันเคยดูหนังตะวันตกหลายเรื่องที่แสดงให้เห็นว่ามีการเผาศพอยู่เหมือนกันแม้ว่าจะเป็นส่วนน้อยก็ตาม
...ดังนั้น การเผาศพจึงเป็นเรื่องปกติทั่วไปในโลกปัจจุบัน
...คำถามสุดท้ายของนักเรียนหญิงอังกฤษ คือ แล้วคนไทยธรรมดาๆ ทั่วไปล่ะ จะมีพิธีเผาศพเหมือนในหลวงรัชกาลที่ 9 ไหม
...ฉันจึงได้โอกาสเล่าเรื่องการเผาศพพ่อแม่ของฉันที่เมรุวัดใกล้บ้าน
...การใช้ดอกไม้จันทน์ในพิธีเผาศพ การเก็บเถ้ากระดูกโดยสัปเหร่อที่สามารถชี้ชิ้นส่วนของกระดูกส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อให้ญาติเก็บไปให้ครบทุกส่วน และเก็บบางส่วนไว้ในเจดีย์หรือใส่โกศไว้ที่บ้านอีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้ลูกหลานมากราบไหว้เมื่อถึงเทศกาลสำคัญๆ และนำเถ้าที่เหลือไปลอยอังคาร
...ในตอนท้ายของบทเรียนวันนั้น เด็กๆ ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับพิธีเผาศพของคนไทย อันแสดงถึงอัตลักษณ์ประการหนึ่งของคนไทย ประเทศไทย และงานศพของประเทศตนเองและประเทศของเพื่อนๆ คนอื่น
...เด็กๆ ได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจวัฒนธรรมของผู้อื่นและของตนเอง การมีความอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่าง อันนำไปสู่การเคารพซึ่งกันและกันในที่สุด
...วันนี้ การเรียนรู้ของเด็กๆ จบลงอย่างสงบงาม เด็กๆได้มีโอกาสแบ่งปันความเป็นอัตลักษณ์ของตนและได้เรียนรู้ความหลากหลายของเพื่อนๆ อันเป็นรากฐานสำคัญของการรู้จัก การเข้าใจ การยอมรับและการเคารพในรากฐานของตนเองและผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน...”
คำว่า “เรียนรู้ที่จะเข้าใจวัฒนธรรมของผู้อื่นและของตนเอง การมีความอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่าง” ช่างเป็นคำที่มีค่านัก ที่ควรเป็นหลักของการถกเถียงและการอยู่ร่วมกันของเราชาวไทย
อีกคนที่กล่าวถึงเรื่องนี้อย่าง “ผู้ไม่โกรธ” คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวไว้ในการสนทนากับ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในรายการ “ต้องถาม” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “ฟ้าวันใหม่”
ดร.เจิมศักดิ์ : คุณอภิสิทธิ์คิดยังไงครับ ที่มีคนบอกว่า มันจะคุ้มค่าไหมกับ 90 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,100 ล้านบาท มันจะคุ้มไหมครับ
นายอภิสิทธิ์ : จริงๆ ผมไม่ค่อยจะคิดถึงคำถามแบบนี้นะ
ดร.เจิมศักดิ์ : มันมีในโซเชียลมีเดีย และมีในสื่อต่างประเทศ
นายอภิสิทธิ์ : ผมก็ทราบดีว่า มันมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ แต่สำหรับผม เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาพูดกันในลักษณะว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม เพราะทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ประเทศไทย พสกนิกรชาวไทย ตั้งใจทำถวาย และในช่วงงานพระราชพิธีที่ผ่านมา อารมณ์ความรู้สึกของคนไทยอย่างนั้น เป็นสิ่งที่หาได้ยาก มันประเมินค่าไม่ได้ แต่เอาล่ะ ในเวลาที่คนมาถกเถียงกันว่า แล้วสมควรจะต้องใช้จ่ายกันยังไงนั้น ผมคิดว่าคนที่ตั้งคำถามเหล่านี้ต้องกลับไปถามตัวเอง ว่า แล้วคุณจะวัดความคุ้มค่าจากอะไร คุณจะมาพูดถึงวัสดุสิ่งของที่ใช่หรือ? ผมว่ามันไม่ใช่เรื่อง และความจริงก็อย่าเอาแต่พูดถึงงบประมาณส่วนนั้นเลย ถามว่าส่วนอื่นๆ ที่คนไทยทุ่มเทลงไป เช่น ที่คนไทยทำอาหารมาแจกกัน เขาใช้เงินกันไปเท่าไหร่ นี่ไม่ได้รวมไปในงบที่พูดถึงกันนะ
ก็ลองเทียบเคียงกันดูละกัน ว่าเวลาที่เราจัดงานกันในครอบครัว เราก็ไม่เคยมาถามใช่ไหมว่า เอ๊ะ มันคุ้มค่าไหม มันเป็นความตั้งใจของผู้ที่จัด ในกรณีนี้ก็คือประเทศไทย ที่ช่วยกันและมีส่วนร่วมกันทุกคน ถ้าถามในแง่ความคุ้มค่า สำหรับคนไทยแล้ว สิ่งที่เราทุกคนตั้งใจจะทำเพื่อถวายพระองค์ท่าน บวกกับความรู้สึก ประสบการณ์ในช่วงนั้นทั้งหมด ผมใช้คำว่าประเมินค่าไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ถ้ายังจะบอกว่า การใช้จ่ายเพื่อการจัดงานพระราชพิธีนี้อย่างนี้ โอ้โห ผมก็มองว่า มีหลายประเทศนะ ที่เขาดิ้นรน อยากจะจัดงานใหญ่ๆ โตๆ เพื่อจะดึงความสนใจของชาวโลกหรืออะไรต่างๆ ถามว่ามันได้อะไรเหมือนสิ่งที่พสกนิกรชาวไทยทำด้วยใจถวายพระเจ้าอยู่หัวของพวกเราไหม ผมก็เห็นหลายประเทศทุ่มงบประมาณจัดอีเว้นท์ ทั้งกีฬา ทั้งบันเทิง ซึ่งบางทีใช้งบมากกว่านี้อีก อาจจะมีบางงานที่มีคนทั่วโลกสนใจ แต่ถามว่า มีงานไหนที่ได้สะท้อนตัวตนของประเทศจริงๆ ที่มีรากฐานทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมแบบนี้ มีการแสดงออกของประชาชนที่มาจากความรู้สึกจริงๆ แบบนี้ ที่ไม่ใช่งานแสดงแสงสีเสียง เอาคนมาเต้นรำ หรืออะไรต่างๆ ออกไปให้โลกได้รู้จักบ้าง และมันไม่มีอะไรจะเทียบกันได้เลยนะ ผมจึงคิดว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องถามในแง่นั้นกันเลย จริงๆ นะ
ดร.เจิมศักดิ์ : เอาละ ทีนี้ผมจะลองเดินตามโจทย์ของเขาไปก่อน ที่เขาบอกว่า ใช้เงินไปประมาณ 90 ล้านเหรียญ ถ้ามีคนที่เข้าร่วม เรียนรู้ และแสดงออกซึ่งความประทับใจแค่สัก 30 ล้านคน ก็ตกแค่คนละ 100 บาท งบประมาณที่ใช้แค่ 100 บาทต่อคน อันนี้คุ้มไหมครับ
นายอภิสิทธิ์ : แหม...อาจารย์
ดร.เจิมศักดิ์ : อันนี้ผมลองเล่นตามเขา
นายอภิสิทธิ์ : ผมถึงได้บอกไงครับ ว่าไม่ต้องไปเล่นตามเขาหรอกครับ เพราะว่าคำตอบมันชัดของมันอยู่แล้ว ผมว่าไปถามประชาชนที่มีส่วนร่วมทั้งหมดเถอะว่า 100 บาท กับสิ่งที่ได้มีโอกาสแสดงออก ได้ถวาย กับความรู้สึกที่ได้รับนั้น จะมีใครไหมครับที่จะบอกว่า 100 บาทนี่มันแพง มันไม่คุ้มค่า
ต่อข้อถามว่า มีสื่อต่างประเทศบอกว่า ที่คนไทยไปร้องไห้ร้องห่มก็ไม่ต่างไปจากเกาหลีเหนือ นายอภิสิทธิ์ตอบอย่างสุขุมว่า คงไม่พูดถึงเกาหลีเหนือ เพราะเราก็ไม่ทราบรายละเอียดของเขาอย่างแท้จริง แต่สำหรับประเทศไทยหากสื่อเหล่านั้นมีความสงสัย ง่ายนิดเดียว คือ มาสัมภาษณ์คนไทย ว่าเขาคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร เป็นผลพวงมาจากอะไร คนไทยจึงได้แสดงออกเช่นนั้น ซึ่งคนไทยทุกคนพร้อมที่จะตอบ
“ถ้าเขามาถาม เขาก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนว่า สิ่งที่ประชาชนคนไทยจำนวนมหาศาล แสดงออกมานั้น เป็นผลพวงมาจาก 70 ปี
ที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ท่านทรง “ให้” ทรงทุ่มเทเพื่อพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศนั่นเอง เพียงแค่เขาศึกษา เขาก็จะเข้าใจ ส่วนจะเหมือนหรือไม่เหมือนกับที่ใด ถ้าเขามาหาคำตอบ เขาก็จะได้คำตอบเอง”
นายอภิสิทธิ์กล่าวในช่วงท้ายอย่างน่าประทับใจว่า “สำหรับเรา ประชาชนชาวไทย เราควรกลับมาทบทวนตัวเองว่า ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ ให้อะไรแก่เรา ผมคิดว่า คำว่าความสูญเสียในที่นี้ คือ เราเคยมีพระเจ้าแผ่นดินที่ท่านทรงงานและพระราชทานหลายสิ่งหลายอย่างให้แก่คนไทยทั้งประเทศ เราต้องเอาคำตอบจากคำถามตรงนี้มาคิดต่อว่า สิ่งที่เราสูญเสีย ก็คือสิ่งที่พระองค์ท่านพระราชทานไว้นั้น คืออะไร แล้วนำสิ่งนั้นมานำทางเรา เข้าสู่อนาคตว่า คิดให้แตกว่าจะนำสิ่งที่พระองค์พระราชทานให้ไว้มาปฏิบัติ มาสานต่อ มานำทางเราไปสู่อนาคตข้างหน้าได้อย่างไร นี่จะเป็นวิธีการตั้งโจทย์ หาคำตอบ และจะช่วยให้เราเดินไปข้างหน้าได้ดีที่สุด”
ปรองดอง สมานฉันท์ ซื่อสัตย์ ทำหน้าที่ พอเพียง ดูแลธรรมชาติ และการพัฒนาที่ยั่งยืน คือสิ่งที่นายอภิสิทธิ์มองเห็น
ส่วนคำตอบอื่นๆ เราทุกคนต้องช่วยกันเติม และเติมด้วยใจที่ “อักโกธะ” แม้กับคนที่ทำพลาดหรือทำผิด ซึ่งยังต้องร่วมอยู่ในแผ่นดินเดียวกัน!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี