รัฐบาล คสช.บริหารประเทศมากว่า 3 ปี มีการปรับคณะรัฐมนตรี 4 ครั้ง ในจำนวน 4 ครั้งนี้เป็นการปรับทีมเศรษฐกิจโดยเฉพาะ 1 ครั้ง จากทีมเศรษฐกิจของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล มาเป็นทีมเศรษฐกิจของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และบัดนี้ได้ก่อเกิดสถานการณ์ที่จะต้องปรับคณะรัฐมนตรีประยุทธ์ 5 แล้ว
การก่อเกิดสถานการณ์ปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้เกิดขึ้นจากการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นการลาออกทั้งทีม คือทั้งผู้ช่วยรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรี และเป็นการลาออกอย่างฉุกละหุก
แน่นอนว่าเป็นผลต่อเนื่องมาจากการปรับย้ายสำคัญสองตำแหน่ง คือการแต่งตั้งปลัดกระทรวงแรงงานจากข้าราชการกระทรวงมหาดไทย และจากการปรับย้ายอธิบดีบางตำแหน่งและมีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทนโดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 คือ ไม่ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี จึงกล่าวได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงบุคลากรโดยรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงไม่รู้ตัวมาก่อน ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการลาออกแบบฉุกเฉิน
ดังนั้นเมื่อตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลง จึงก่อเกิดสภาพบังคับให้ต้องปรับคณะรัฐมนตรีประยุทธ์ 5 ซึ่งมีการเปิดเผยท่าทีตรงกัน ทั้งจากหัวหน้า คสช. และประธานที่ปรึกษา คสช. แล้วว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี คงเหลือแต่จะเป็นการปรับเล็กหรือปรับใหญ่เท่านั้น
ในท่ามกลางกระแสการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น ดูเหมือนว่ามีการเล่นเกมกลทางการเมืองในลักษณะที่บ่อนทำลายกองทัพหรือทหารอยู่ในที นั่นคือการสร้างกระแสว่าจะต้องปรับเอาทหารออกไปจาก ครม. ในขณะที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าจะต้องปรับพลเรือนออกจาก ครม.ด้วยหรือไม่ จึงทำให้กระแสพุ่งไปที่รัฐมนตรีที่เป็นทหาร นับว่าเป็นแผนการร้ายที่แยบยลเอาการ
ทว่าแผนการอุบาทว์แบบนี้คงจะไม่สามารถหลุดพ้นจากสายตาของผู้นำกองทัพหรือ คสช. ไปได้ อย่างน้อยก็คงจะตั้งข้อสังเกตหรือกระจ่างแจ้งแก่ใจว่ามีการเล่นกลการเมืองกันอยู่ จะเป็นการเล่นกลเพื่อปกป้อง ปกปิด รักษาพวกรัฐมนตรีพลเรือนที่ทุจริตโกงชาติ หรือที่ไม่เอาไหนไว้หรือไม่อย่างไร
ความจริงมีเสียงเรียกร้องต้องการให้ปรับคณะรัฐมนตรีมานานแล้ว และเกิดกระแสเรียกร้องเป็นระยะๆ ไม่เคยขาดสายเลยเริ่มตั้งแต่การเรียกร้องให้ปรับคณะรัฐมนตรีที่คลาคล่ำไปด้วยข่าวคาวการฉ้อราษฎร์บังหลวง และมีเรื่องราวข่าวสารพัดโกงเกิดขึ้นไม่ขาดสาย
กระทั่งข่าวคราวของการเรียกร้องให้เปลี่ยนรัฐมนตรีโลกลืม ที่วันๆ ไม่เคยรับผิดชอบรู้ร้อนรู้หนาวด้วยการแผ่นดินหรือราษฎรเลยแม้แต่น้อย อยู่รักษาตัวเพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนฉิบหายของบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อย
มีกระแสเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีประเภทที่ทำการงานผิดพลาด สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยเฉพาะประชาชนรากหญ้าที่กำลังสิ้นเนื้อประดาตัว และกำลังดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการรับทานหรือเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล โดยไม่เคยมีการแก้ไขรากเหง้าของปัญหาใดๆ เลย เอะอะก็เอาเงินงบประมาณไปฟาดหัวราษฎร
มีกระแสเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีประเภทที่ประพฤติตนเป็นขี้ข้าต่างชาติและเจ้าสัวทั้งหลาย ที่ทำการสิ่งใดก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของต่างชาติและเจ้าสัวทั้งสิ้น ทำราวกับว่าประเทศไทยเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ หรือเป็นของเจ้าสัวที่ทำกันอย่างโจ๋งครึ่มโจ่งแจ้ง ไม่เกรงฟ้า ไม่อายดิน
เพราะเหตุที่มีปัญหาดำรงอยู่ในบ้านเมือง จึงเกิดกระแสเรียกร้องให้ต้องปรับคณะรัฐมนตรี แต่ก็ดูเหมือนว่ามีความต้องการให้สถานการณ์ทุกอย่างแจ่มชัดเสียก่อน จึงผัดผ่อนกันเรื่อยมา จนกระทั่งเสียงเรียกร้องเริ่มหายไป แต่กลับกลายเป็นเสียงขับไล่ก่นด่าผู้นำรัฐบาลเข้ามาแทนที่
มีการก่อหวอดที่จะชุมนุมขับไล่รัฐบาลเกิดขึ้นหลายหมู่ หลายเหล่า หลายพื้นที่ รอวันเวลาที่จะปะทุเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลา หรือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเท่านั้น กระแสดังกล่าวร้อนแรงที่มีแต่พวกตาอยู่เท่านั้นที่ไม่รู้จักร้อนหนาวหรือสัมผัสกระแสเหล่านี้
ดังนั้นเมื่อก่อเกิดสถานการณ์ต้องปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว ก็ต้องนับเป็นโชคดีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะได้ใช้สถานการณ์นี้ปรับปรุงคณะรัฐมนตรีให้บังเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน
ไม่ต้องกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ว่าจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่ และไม่ต้องกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ว่าจะต้องปรับทหารออกไปมากหรือน้อย เพราะนั่นไม่ใช่สาระสำคัญอะไร การปรับเล็ก ปรับใหญ่ หรือปรับทหาร พลเรือน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผลที่จะเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองและราษฎร เพราะผลแท้จริงที่จะเกิดขึ้นนั่นคือคนที่จะถูกปรับเข้าออกต่างหาก
จะต้องอัญเชิญพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 น้อมนำมาใส่เกล้าไว้ให้จงดี นั่นคือต้องส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจ ต้องกำจัดขัดขวางคนไม่ดีอย่าให้มีอำนาจ
ดังนั้นจึงต้องพิจารณาปรับคนทุจริต ฉ้อโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวงออกไป ต้องปรับเอาคนที่ไม่มีความรู้ความสามารถ ก่อแต่ความผิดพลาดให้เดือดร้อนแก่บ้านเมืองและราษฎรออกไป ต้องปรับเอาคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวด้วยแผ่นดิน ที่อยู่ไปวันๆ ให้เปลืองภาษีและอากาศหายใจ โดยไม่ก่อเกิดประโยชน์อันใดแก่บ้านเมืองออกไป
จะต้องเชื้อเชิญคนดี มีฝีมือ ซื่อตรงต่อแผ่นดินในสาขาต่างๆ เข้ามาช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน โดยไม่จำแนกว่าเป็นพวกไหน เหล่าใด ขอให้เป็นคนดี มีฝีมือ ซื่อตรงต่อแผ่นดิน ถึงแม้จะเป็นคนละพวกคนละฝ่าย นายกรัฐมนตรีก็อาจต้องทำตนเป็นเล่าปี่ออกไปเชื้อเชิญมาช่วยบำรุงแผ่นดิน ตามแบบอย่างที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เคยไปเชื้อเชิญพระยาอรรถการีย์นิพนธ์ นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ และหลวงวิจิตรวาทการ มาช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดินมาแล้วเถิด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี