ช่วงนี้ต้องบอกว่า “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” อย่างแท้จริงสำหรับหน่วยงานรัฐ ข้าราชการไทย ที่ตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางใด ก็ถูกประชาชนค่อนขอดและตั้งแง่สงสัย ทั้งในเรื่องพฤติกรรมส่วนบุคคล และเรื่องการใช้อำนาจหน้าที่ในทางราชการ
ไล่ตั้งแต่ไม่กี่วันก่อนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี โดนประชาชนลุกฮือชุมนุมประท้วง หลังไม่พอใจกรณีระบบการถวายดอกไม้จันทน์ในงานพระราชพิธีสำคัญที่ปวงชนชาวไทยทุกคนอยากมีส่วนร่วมน้อมถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย แต่ผลการจัดงานของผู้ว่าฯชลบุรี กลายเป็นประชาชนหลายหมื่นคนต้องยืนรอคิวนานหลายชั่วโมง สาเหตุเพราะมีการให้เอกสิทธิ์พิเศษแก่ข้าราชการหลายพันคนในพื้นที่มีโอกาสแซงประชาชนขึ้นวางดอกไม้จันทน์ให้ครบก่อนหรือไม่? จนสุดท้ายแถวประชาชนจึงลากยาวหลายกิโลเมตร ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจ เรียกหาสปิริตความรับผิดชอบของผู้ว่าฯ? ที่สำคัญยังมีกระแสข่าวทำนองว่าผู้ว่าฯชลบุรี ขู่จะสลายการชุมนุมและยืนยันจะไม่ลาออก หากจะออก ผู้ที่จะเอาตัวเองออกจากตำแหน่งได้ มีเพียงรมว.มหาดไทยเท่านั้น!?!?!? ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่? แต่นั้นทำให้เป้าไปอยู่ที่ฝ่ายการเมืองคือ รมว.มหาดไทยแทนว่า จะเลือกข้างประชาชนหรือเลือกอุ้มข้าราชการที่ประชาชนไม่เอาแล้ว? แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ว่าฯชลบุรีมั่นใจสถานะตัวเองขนาดนี้?
ขณะเดียวกัน สังคมก็เกิดคำถามว่า ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯได้ทำอะไรเพื่อประชาชนบ้างหรือไม่? อย่างกรณีเหตุการณ์ ที่ชาวเมืองชลบุรีจดจำคือ ช่วงหลังวันสวรรคตในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ผู้คนในจังหวัดจำนวนมากเดินทางมาร่วมพิธีแสดงความอาลัย แต่ผู้ว่าฯกลับไม่อนุญาตให้ประชาชนร่วมพิธีโดยไม่มีเหตุผล จริงหรือไม่? หรือกรณีข้อสงสัยใช้งบประมาณจำนวนมากในหลายโครงการอันทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจของประชาชน ซึ่งแทนที่จะชี้แจง กลับมีกระแสข่าวจากวงนอกเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องตลาดนัด? ซึ่งไม่เกี่ยวกัน ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้ผู้ที่มาชุมนุมด้วยความบริสุทธิ์ใจเหมือนเพิ่มเชื้อไฟให้หนักขึ้นอีก เช่นนี้ก็ไม่แปลกที่ทำให้การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ดูมีน้ำหนักมากขึ้น แม้กระทรวงมหาดไทยจะออกมาปกป้อง และแก้ปัญหาแบบเดิมๆ โดยตั้งคณะกรรมการสอบ แต่สุดท้ายการสอบสวนก็วนไปวนมา ไม่เคยรายงานผลหรือเหตุผลของผลต่างๆ ให้ประชาชนทราบ จริงหรือไม่?
ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็มีข้อเสนอกระทรวงมหาดไทยทำนองว่า จะเสนอเข้าครม.ให้สลับตำแหน่งผู้ว่าฯชลบุรีกับผู้ว่าฯสมุทรปราการ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ตั้งแต่คืนที่มีข่าวปล่อยข้ามถึงอีกวันหนึ่ง ถึงกระแสไม่พอใจของประชาชนที่ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ชลบุรีและสมุทรปราการแล้ว ประชาชนทั่วไปก็ยังแสดงความไม่เห็นด้วย เพราะมองว่า นี่ไม่ใช่การลงโทษของภาครัฐ แต่เป็นเพียงแค่การสลับพื้นที่ให้กินตำแหน่งเดิมและอยู่ในจังหวัดเกรดเดิม ใช่หรือไม่? เพราะปัญหามีด้วยกัน 2 ส่วน
ส่วนแรกคือ ปัญหาเจ้าหน้าที่ปกครองที่ถูกส่งลงพื้นที่ ไม่เข้าใจหรือไม่มีความตั้งใจดูแลและให้บริการ ไม่เห็นหัวประชาชน ขณะที่ปัญหาอีกส่วนคือความไม่เข้าใจไม่ใส่ใจของข้าราชการส่วนกลางในการเลือกคนลงไปพื้นที่ ตลอดจนความเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาเมื่อประชาชนในพื้นที่มีความขัดแย้งกัน ใช่หรือไม่? ก่อนที่ต่อมาเหมือนรัฐบาลจะทานกระแสที่ไม่เห็นด้วย ไม่ไหว? สุดท้ายจึงเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือไม่? ทำให้มติครม.ออกมา กลายเป็นให้มาปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ซึ่งเป็นการย้ายแค่ชั่วคราว และเป็นการช่วยราชการที่หลายคนสงสัยว่า อาจยังไม่ขาดจากตำแหน่งเดิม ใช่หรือไม่? และก็ยังไม่มีการตั้งผู้ว่าฯคนใหม่?
หลายคนจึงเริ่มตั้งคำถามกับรัฐมนตรีว่า การให้มาช่วยราชการที่ส่วนกลางนั้น ตกลงมีอะไรอยู่เบื้องหลัง หรือไม่? มากไปกว่านั้นมีผู้พบด้วยว่าผู้ว่าฯคนนี้เติบโตมาจากจ.สระแก้ว ที่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นพื้นที่ของใคร? จึงมีคำถามว่า ผู้ว่าฯคนนี้เป็นเด็กของใครหรือไม่? ที่สำคัญที่สุดคือ เหตุใดรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาจึงตัดสินใจเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เหมือนลังเลไม่กล้าตัดสินใจ เพราะอะไรบางอย่าง? ที่อาจเป็นกาวเชื่อมใจระหว่างผู้มีอำนาจและผู้ว่าฯคนดัง? ทั้งๆ ที่เรื่องนี้น่าจะตัดสินใจได้นานแล้ว
เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีต้องตอบคำถามต่อประชาชนให้ได้ว่า ตัดสินใจอย่างไรต่อเรื่องนี้? เพราะอะไร? อย่าปล่อยให้กระแสต่อต้านผู้ว่าฯ กลายเป็นกระแสต่อต้านผู้บังคับบัญชาของผู้ว่าฯ หรือแม้กระทั่งตอบคำถามต่อกระแสเรียกร้องประชาชนที่ว่า หากผู้ว่าฯที่ส่วนกลางส่งมา ไม่มีความจริงใจและไม่ใส่ใจ ตลอดจนไม่เข้าใจพื้นที่แล้ว ก็ควรให้ประชาชนมีสิทธิเลือกผู้ว่าฯของตัวเองหรือไม่? เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้มีกระแสนี้แล้ว อย่าปล่อยให้เกิดกระแสอยากได้ผู้ว่าฯที่มาจากคนท้องถิ่น หรือผู้ว่าฯจากการเลือกตั้งของประชาชนในช่วงนี้หรือ มิฉะนั้นรัฐบาลจะทำงานลำบากแน่!!!
ที่สำคัญไม่อาจปฏิเสธได้ว่าช่วงนี้ประเด็นประชาชนต่อต้านราชการ กระแสถูกตีวงมากขึ้น เริ่มวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมที่เอาเปรียบ ดูถูก และไม่ตอบสนองประชาชนลามไปหลายๆ หน่วยงาน แต่ที่มีมาตลอดอยู่แล้วคือ ราชการตำรวจไทย ที่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีกระแสข่าวจากเพจดังแฉกรณีตำรวจท่องเที่ยวจ.ภูเก็ต พัวพันรับส่วยและรีดไถประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่อ.ป่าตอง? ที่สำคัญไปกว่านั้นกระแสข่าวได้กล่าวถึงผู้อยู่เบื้องหลังเก็บส่วยดังกล่าวว่า มาจากนายตำรวจระดับผู้การชื่อดัง เกี่ยวข้องด้วยจริงหรือไม่? แม้นายตำรวจระดับผู้การจะปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับส่วยดังกล่าว? แต่ด้วยขอบข่ายงานที่ต้องดูแล การออกมาพูดเช่นนี้ หลายคนจึงสงสัยว่า อาจปัดความรับผิดชอบในหน้าที่หรือไม่?
หรือปัญหาอื่นๆ ของวงการตำรวจก็ยังคงมีมากไม่แพ้กัน เช่น การที่ตำรวจเข้าไปมีอำนาจ ทั้งกำกับดูแลการจราจร, ตรวจคนเข้าเมือง, ตรวจจับลิขสิทธิ์ ที่ดูจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะคายอำนาจของตัวเองให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเข้ามารับผิดชอบ? เพื่อการทำงานที่เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพสูงสุด หรือกรณีหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็มีหลายครั้งที่เกิดความล่าช้า ผู้โดยสารตกค้าง แต่กลับมีระดับความปลอดภัยที่หละหลวม เพราะหลายครั้งที่ผู้มีหมายจับหรือบุคคลต้องห้ามสามารถผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาประเทศไทยได้ ใช่หรือไม่? ในหลายประเทศหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเป็นอำนาจของกรมการปกครอง ที่มีฐานทะเบียนราษฎรเป็นหลักในการตรวจสอบ หรืออาจจะให้อำนาจแก่กระทรวงต่างประเทศผู้ออกพาสปอร์ต และวีซ่าแก่ผู้เดินทางเป็นผู้ตรวจสอบก็เป็นได้ ทำไมหรือถึงต้องเป็นตำรวจ? แล้วทำไมอะไรๆ ถึงต้องเป็นตำรวจ?
จนล่าสุดที่มีกระแสข่าวเป็นระยะๆมานานหลายปีว่ารัฐบาลคสช.จะทำการปฏิรูปตำรวจทั้งระบบเสียใหม่ อันเป็นประเด็นที่ดูค้างคามานานแสนนาน ซึ่งในช่วงแรกๆที่รัฐบาลคสช.ประกาศว่าจะปฏิรูปตำรวจนั้น ก็ทำให้สังคมมีความคาดหวัง แต่มาจนถึงทุกวันนี้ 3 ปีกว่าแห่งรัฐบาลคสช. การปฏิรูปตำรวจก็ยังไม่มีอะไรขยับ? นอกจากการประชุมแล้วก็ประชุม
ขณะที่ปัญหาของหน่วยงานราชการอื่นๆ ก็ไม่แพ้กัน ยิ่งในยุคสมัยรัฐบาลคสช.ข้าราชการแทนที่จะเป็นมือเป็นไม้ให้นายกฯประยุทธ์ เร่งสะสางปัญหาบ้านเมืองให้เรียบร้อย กลับใช้อำนาจที่นายกฯให้ ขยายอำนาจตัวเอง ทั้งแง่กระบวนการแก้ไขกฎหมายและในแง่การปฏิบัติ ลองย้อนไปดูการแก้กฎหมายตั้งแต่ปีแรกที่คสช.เข้ามา จะพบว่า หน่วยราชการชงแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจให้ตัวเองมากมาย ใช่หรือไม่ ? ขณะที่ในทางปฏิบัติ ราชการส่วนภูมิภาคที่กระทรวงส่งไปดูแลประชาชน ก็วางตัวใหญ่โตให้ชาวบ้านเกรงกลัว วันนี้ไม่มีนักการเมือง แต่กลายเป็นประชาชนต้องรองรับอารมณ์เจ้าพ่อคนใหม่ คือ ข้าราชการส่วนภูมิภาคที่ประจำในจังหวัดนั้นๆ ขณะที่เรื่องคอร์รัปชั่นก็ไม่ได้ลดลงอย่างที่คิดเลยใช่หรือไม่?
ลองดูตัวอย่างเช่น การรุกพื้นที่ป่าโดยให้กลุ่มนายทุนเข้ามาเช่าที่ดินสาธารณประโยชน์ห้วยเม็ก ที่ผู้มีอำนาจเซ็นอนุมัติช่วงเดือนมิ.ย.ปี 2559 ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่เสมอมา แต่ก็ยังเซ็นอนุมัติให้เข้าไปใช้ประโยชน์ โดยไม่ได้สนใจคำคัดค้านของประชาชนเลย จริงหรือไม่?
ตัวอย่างทั้งหมดนี้แค่เพียงสิ่งเล็กน้อยที่เกิดขึ้นจริงของข้าราชการยุคคสช.? ที่สะท้อนการแก้ปัญหาและการทำงานที่ไม่ได้เข้าถึง เข้าใจประชาชนแม้แต่น้อย รู้จักแต่ใช้อำนาจตามกฎหมาย แต่ไม่สนใจแก้ปัญหา ความเดือดร้อนประชาชน และมักใช้ข้ออ้างเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบเพื่อป้องกันตัวเอง? แต่คงไม่ง่ายสำหรับยุคนี้ เพราะประชาชนสามารถสื่อสารกันเอง ตรวจสอบ และเปิดเผยกันได้มากขึ้นและรวดเร็วบนโลกสังคมออนไลน์แล้ว และเกิดการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบของภาคประชาชนจริงๆ ตามกฎหมายขึ้น
ปัจจุบันนี้ระบบการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีมากขึ้น เข้มงวดมากขึ้น ต้องยกให้เป็นผลงานของรัฐบาล คสช. แต่ที่ยังขาดหายไปที่ประชาชนอยากให้มีเพิ่มเติมคือระบบการตรวจสอบภาคราชการ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม ตำรวจ และข้าราชการฝ่ายปกครองผู้บังคับใช้กฏหมาย ควรมีระบบที่ประชาชนมีอำนาจในการตรวจสอบ และเสนอแนะข้อคิดเห็นมากกว่านี้ เช่นในกรณีผู้ว่าฯชลบุรี อย่างที่กล่าวข้างต้น แม้จะยังไม่คิดที่จะกระจายอำนาจให้เกิดจังหวัดจัดการตนเองแบบข้อเสนอของทางสายงานวิชาการ ที่ให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ แต่ก็ควรมีการตรวจสอบ หรือเปิดช่องทางใหม่ๆ ในการล่ารายชื่อขอเปลี่ยนตัวได้ หากการบริหารงานไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน หรือท้ายที่สุดแล้วควรทบทวนข้อเสนอในการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น เพราะถึงวันนี้เวลานี้ควรต้องตระหนักได้แล้วว่าการผูกขาดอำนาจไม่ได้มีประโยชน์ใดที่ดีแก่ประชาชน และการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต กรณีผู้ว่าฯชลบุรี เป็นตัวอย่างที่สำคัญที่บรรดาพ่อเมืองทั้งหลายต้องหันไปดูตัวอย่างที่ ดร.ปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ว่าทำไมถึงได้ครองใจประชาชนคนยากคนจนได้ ไม่ยกตัวไม่อ้างสายสะพายแบบที่เป็นกันอยู่ในหลายจังหวัดทุกวันนี้
ขณะที่สำหรับรัฐบาลก็เป็นกรณีที่ควรเรียนรู้ที่จะปรับตัวแก้ไขการตัดสินใจนโยบายจากส่วนกลางเวลามีปัญหาเพราะประชาชนเองไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เพียงตัวผู้ว่าฯ เท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณไปยังผู้นำรัฐบาลว่าจะจัดการอย่างไรกับเหตุการณ์นี้? และหากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกก็เชื่อได้ว่าคงไม่ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลอย่างแน่นอน...
“...ความล้มเหลวก็มีความสุขที่สืบเนื่องจากความล้มเหลวอย่างน้อยผู้ที่ประสบชัยไม่มีวันเสพทราบได้”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี