“คนเราต้องรู้จักรับฟังคำติเตียนของคนอื่น หมายความว่าเราเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ถูก ถ้าเรียนรู้ในสิ่งที่ผิด ไม่ถูกแล้วก็ไม่ก้าวหน้า ถ้าฟังเขาพูด เขาติเตียนแล้วก็สนใจว่าเขาติเตียนทำไม เอาความติเตียนนั้นมาปรับปรุงตัวเอง ก็จะทำให้มีความก้าวหน้าได้ ข้อสำคัญอย่าไปเคือง
ถ้าไปเคือง จิตใจมันก็เคือง จิตใจมันทำอะไรไม่ได้ จิตใจที่โกรธ จิตใจที่ขุ่นเคือง จิตใจที่ขุ่นหมอง ไม่มีทางก้าวหน้า”
พระบรมราโชวาท ร.9 เมื่อ 29 พ.ย.2548
ยกมาให้คนทุกระดับที่มีหน้าที่ในการทำงานต่างๆฟัง โดยเฉพาะคนที่มีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบสูงต่อคนหมู่มาก หรือมีหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองด้วยแล้ว ยิ่งต้องนำไปรับใส่เกล้าฯพิจารณาให้มากกว่าคนอื่นๆ
ไม่เฉพาะว่าจะต้องเป็นรัฐบาลที่มาจากระบบ หรือมานอกระบบจากการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งไม่ควรจะฟังเฉพาะคนที่จะเอาใจเท่านั้น แต่ต้องรับฟังคนอื่นบ้าง และรู้จักเก็บปากเก็บคำไว้ก่อนจะฟังให้จบ ไม่ควรตอบโต้ สวนกลับในทันทีทันใด เช่น เรื่องที่เขาขอให้ปลดล็อกทางการเมืองในขณะนี้เพื่อทำกิจกรรมได้ตามรัฐธรรมนูญใหม่ที่ออกบังคับใช้แล้ว ก็ไม่ยอมโดยบอกว่าบ้านเมืองยังมีคนก่อกวน เป็นต้น
แทนที่จะใช้โอกาสดังกล่าวนี้จัดให้มีการเสวนาแลกเปลี่ยนความเห็นกันทุกฝ่าย ทุกพรรคการเมืองเพื่อรับฟังหรือมีการชี้แจงระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน สามารถเดินไปในแนวทางเดียวกันได้ ความขัดแย้งซึ่งกันและกันก็จะบรรเทาเบาบางลงตามเหตุและผลที่ได้หารือร่วมกัน การทำงานก็จะไปด้วยกันได้
ไม่ใช่เอะอะก็บอกว่ายังไม่ปลดล็อกเพราะมีคนก่อกวน
ใครเป็นคนก่อกวนก็จะรู้กันในการเสวนาร่วม และจะได้อธิบายเหตุผลต่างๆให้ฟังถึงสิ่งสำคัญที่จะต้องแก้ไขดังกล่าวร่วมกันให้ได้เสียก่อน อย่างนี้เป็นต้น ประชาชนทั้งหลายที่ได้รับฟังและรู้เห็นเรื่องราวดังกล่าว ย่อมต้องเข้าใจและไม่มีใครไปหลอกเขาได้
การรับฟังและฟังอย่างไรจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
เพราะในโลกนี้ไม่มีใครวิเศษที่จะรู้หมดไปทุกอย่าง แต่จะรู้กันคนละด้านสองด้าน ในขณะที่เหตุการณ์ต่างๆนั้นมีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
อันตรายใดๆไม่ยิ่งใหญ่เท่าอันตรายจากการพูดจาดูถูกดูหมิ่น ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เสมือนไม่ยอมรับแสงสว่างจากภายนอกมาสู่ตน ซึ่งนิสัยอย่างนี้จะเป็นสิ่งที่นำภัยมาสู่ตนได้ในที่สุด
การรับฟังที่ดีจึงควรประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้
1. ไม่ควรฟังเฉพาะผู้ที่มุ่งหมายจะเอาใจผู้ฟังเท่านั้น แต่ควรฟังผู้ที่มีความเห็นที่แตกต่างด้วย เพื่อเพิ่มเติมในสิ่งที่ยังไม่รู้
2. ควรฟังด้วยความจริงใจ อย่าแกล้งทำ เพื่อให้ใครต่อใครเห็นว่า “ผมกำลังฟังคุณ” ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการเข้าร่วมของคนอื่นที่จะเข้ามาช่วยกันแก้ปัญหา หรือเป็นพลังร่วมในการทำงาน
3. เปิดใจให้กว้างดังทะเลหรือมหาสมุทรในการรับฟัง เก็บคำตัดสินไว้ก่อนจะฟังให้ตลอดหรือครบถ้วน
4. ควรฟังให้สิ้นกระแสความ และรับฟังด้วยหัวใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ควรจะตั้งท่าตอบโต้ทันใดทันที่ หรือด่วนสวนกลับเพื่อป้องกันตัวเอง เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงออกของคนที่ไม่พยายามเข้าใจคนอื่น
5. การพูดคุยหรือสนทนาเพื่อการรับฟังนั้นมีเรื่องของอำนาจดำรงอยู่ เช่น นายกับลูกน้อง นักวิชาการกับชาวบ้าน อธิบดีกับผู้ใต้บังคับบัญชา ปลัดกระทรวงกับอธิบดี แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีกับประชาชน ใครยิ่งอยู่สูงเท่าไร มักขาดโอกาสที่จะฟังคนอื่นมากเท่านั้น อาจเป็นเพราะมีเวลาน้อยหรือเคยชินกับการชี้นิ้วสั่งการ การฟังที่ดีจึงควรต้องเป็นอิสระจากสถานะอำนาจที่มีอยู่ เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันบนพื้นฐานของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ทั้ง 5 ประการดังกล่าวเป็นเรื่องของการฟังที่ดี หากมีกับใครแล้วปัญญาย่อมเกิด และถ้าปัญญาเกิดเมื่อไร เหตุการณ์ข้างหน้าย่อมง่ายต่อการคาดถึงว่าจะเป็นอย่างไร
อย่าให้ “อคติ” เข้าครอบงำจนเกินไป
“อคติ” ที่ว่านี้มีด้วยกัน 3 ประการ คือ
1. โมหาคติ คือความหลง
หลงว่ามีเพื่อนที่ดีอยู่รอบตัว จนลืมนึกถึงความเลวของเพื่อนที่เคยทำไว้ก่อไว้ในอดีต เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือหลงเชื่อข่าวที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของคนบางกลุ่มบางพวก หรือหลงเชื่อ “โพลล์”
2. ภยาคติ คือความกลัวภัย
กลัวว่าถ้าไม่ทำตามความต้องการของรุ่นพี่หรือผู้ร่วมงานบางคน โอกาสที่จะดำรงตำแหน่งหน้าที่ต่อไปคงไม่มี ทั้งๆที่ความต้องการของคนเหล่านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวก ทำให้เกิดความไม่กล้าตัดสินใจ
3. โทสาคติ คือความโกรธ
โกรธคนที่หวังดีในการแนะนำให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง หรือข้อเรียกร้องให้เป็นตัวของตัวเองในการทำงานเพื่อบ้านเมือง
(อ่านต่อวันอังคาร)
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี