นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีคำพิพากษาจำคุก และมีหมายจับคดีทุจริตติดตัวอีกหลายคดี โพสต์ข้อความและภาพผ่านเฟซบุ๊ค Ing Shinawatra ระบุทำนองว่า เปิดดูหนังสือประวัติของพ่อ อดคิดไม่ได้ว่าคนเราคงไม่มีใครดี 100% ช่วงที่พ่อเป็นนายกฯ ได้ทำอะไรเพื่อประเทศไว้เยอะมาก เสียดายที่เด็กรุ่นหลังไม่ได้โตทันช่วงที่พ่อทำงานให้ประเทศชาติ
นอกจากข้อความ ก็ยังโพสต์ภาพที่ถ่ายจากหนังสือเชิดชูทักษิณ โดยหยิบสารพัดเรื่องที่อ้างว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของทักษิณมาโอ้อวด เช่น ล้างหนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด สร้างสนามบินสุวรรณภูมิจนเสร็จ ฯลฯ
1. น่าเสียดาย เด็กรุ่นหลัง โตมาไม่ทันยุคที่มีการสอบเอ็นทรานซ์
เด็กมัธยมทั่วประเทศมุ่งมั่น ต้องการจะใช้สติปัญญาฝ่าการแข่งขันเข้าไปนั่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำให้ได้
อ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ ติวแล้วติวอีก หวังจะเข้าแข่งอย่างยุติธรรม ไม่มีใครโกง
แต่ในยุคทักษิณเป็นนายกฯ ปี 2547 ในช่วงที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวนายกรัฐมนตรี สอบเข้าเรียนต่อในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ ปรากฏว่า ข้อสอบรั่ว
บางคนประวัติได้คะแนนน้อย แล้วกลับได้คะแนนพรวดพรวด ฉลาดข้ามคืน
มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ชุดที่มี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธาน สรุปพฤติกรรมของ ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร เลขาธิการการอุดมศึกษา ขณะนั้นว่า มีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ และฐานไม่ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการ
หลังจากนั้น ร.ต.อ.วรเดช ยังได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ในยุครัฐบาลทักษิณ
อุ๊งอิ๊งจำได้ไหม
น่าจะเล่าให้เด็กรุ่นหลังฟังบ้าง
2. อุ๊งอิ๊งควรจะอ่านหนังสือเยอะๆ ศึกษาข้อมูลเชิงลึกบ้าง
เอาที่สามารถอ้างอิงเอกสารหลักฐานชัดเจน
ไม่ใช่ฟังจากรายงานเชิดชูบิดาอย่างเดียว
เอาแค่เรื่อง “ล้างหนี้ไอเอ็มเอฟ” ที่อวดอ้างว่าเป็นผลงานยิ่งใหญ่ของทักษิณนั้น จริงๆ มันเป็นอย่างไร?
ใครก็ตาม หากไม่โง่หรือแกล้งโง่ จะต้องรู้เบื้องต้น หนี้ไอเอ็มเอฟเกิดขึ้นในยุคไหน?
คำตอบ คือ ยุครัฐบาลชวลิต
สมัยรัฐมนตรีคลังชื่อ “ทนง พิทยะ” ที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีโดยการสนับสนุนของ “ทักษิณ ชินวัตร”
เดือนมี.ค. 2540 สถาบันการเงินในประเทศจำนวนมากอ่อนแอ แต่รัฐบาลในขณะนั้นกลบเกลื่อน เลือกปิดเพียง 16 แห่ง พยายามอุ้มสถาบันการเงินที่มีสายสัมพันธ์กับพรรคพวกตนเอง
ต่อมา เดือนมิ.ย. จึงปิดสถาบันการเงินเพิ่มอีก 42 แห่ง เกิดความปั่นป่วน
ไม่เชื่อถือไปทั่ว
ในที่สุด เมื่อลดค่าเงินบาท 2 ก.ค. 2540 เงินทุนสำรองร่อยหรอ รัฐบาล
ชวลิตก็ไปขอกู้เงิน
จากไอเอ็มเอฟ ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 1 (Letter of Intent : LOI) เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540
การกู้เงินจากไอเอ็มเอฟนั้น ทางผู้ให้กู้เขาประเมินและตกลงให้กรอบประเทศไทยเป็นหนี้ได้ทั้งหมด ประมาณ 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อหักลบหนี้ที่รัฐบาลไทยกู้จากต่างประเทศและสถาบันการเงินระหว่างประเทศอื่นๆ แล้ว ปรากฏว่า ประเทศไทยได้กู้จากไอเอ็มเอฟจริงๆ ประมาณ 14,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
เงื่อนไขและวิธีการรับเงินกู้ไอเอ็มเอฟ คือ ไอเอ็มเอฟจะทยอยส่งเงินให้เป็นงวดๆ
3 เดือนต่อหนึ่งงวด
โดยแต่ละงวด รัฐบาลไทยก็จะต้องลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง หรือ Letter of Intent : LOI เป็นเงื่อนไขพันธะผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตาม
หนังสือแสดงเจตจำนง หรือ Letter of Intent : LOI ฉบับที่หนึ่ง ลงนามสมัยรัฐบาลชวลิต เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2540 ตกลงผูกมัดไว้หมดแล้วว่า รัฐบาลไทยจะต้องรัดเข็มขัดอย่างไร ควบคุมนโยบายการเงินอย่างไร ควบคุมนโยบายการคลังอย่างไร ห้ามขึ้นเงินเดือนราชการอย่างไร ต้องมีนโยบายรัฐวิสาหกิจอย่างไร ฯลฯ
และเมื่อจะเอาเงินกู้งวดที่สอง (3 เดือนต่อมา) ก็ต้องยื่นเงื่อนไข LOI ฉบับที่สอง รัฐบาลชวลิตก็ไปตกลงไว้กับไอเอ็มเอฟแล้ว เซ็นกันเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2540
สำหรับวิธีการจ่ายคืนเงินกู้ไอเอ็มเอฟ ตกลงกันว่า เงินกู้แต่ละงวด
จะต้องจ่ายคืนเมื่อครบกำหนด 3 ปี
ยกตัวอย่าง ก้อนที่ได้มา 14 พ.ย. 2540 ก็มีกำหนดจ่ายคืน 14 พ.ย. 2543 (นับไปอีก 3 ปี) เป็นต้น
ดังนั้น ตามแผนการที่เจรจากรอบการกู้ไอเอ็มเอฟไว้เดิม วางแผนกันว่า ประเทศไทยจะรับเงินกู้จากไอเอ็มเอฟไปอย่างนี้
ทุกๆ 3 เดือน จนครบยอดเงินกู้ทั้งหมด ซึ่งตามแผนเดิม เงินกู้งวดสุดท้ายจะได้รับประมาณกลางปี 2544 ซึ่งทำให้กำหนดชำระหนี้
ไอเอ็มเอฟก้อนสุดท้าย ก็ต้องชำระกลางปี 2547 (นับไปอีก 3 ปี)
ปรากฏว่า เมื่อรัฐบาลชวลิตออกไป รัฐบาลชวนเข้ามา (หลัง 14 พ.ย. 2540) เข้าสู่ช่วงที่ประเทศไทยจะต้องทำตามเงื่อนไขพันธะที่ไปตกลงไว้กับไอเอ็มเอฟแล้ว และเริ่มทยอยใช้หนี้ไอเอ็มเอฟตามกำหนด
ระหว่างนี้เอง ประชาชนคนไทยในประเทศต้องเดือดร้อนกับ “ยาขมหม้อใหญ่” ที่ต้องรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจกันถ้วนหน้า แต่แล้ว เมื่อการบริหารการเงินการคลังรัดกุมขึ้น ค่าเงินบาทอ่อนลง การส่งออกดีขึ้น ภาคธุรกิจเอกชนในประเทศปรับตัวได้ กลับมาแข่งขันได้ ภาคการเงินในประเทศดีขึ้น ดอกเบี้ยต่ำ การลงทุนเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น ทุนสำรองของประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ ฯลฯ
เมื่อสถานการณ์ประเทศไทยดีขึ้น จนถึงช่วงกลางปี 2543 (รัฐบาลชวน) จึงได้ตกลงเลิกกู้จากไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด เมื่อกู้เงินน้อยลง โดยเลิกรับเงินกู้เร็วขึ้น 1 ปี กำหนดการชำระเงินกู้งวดสุดท้ายย่อมเร็วขึ้น 1 ปี
ตามไปด้วย
เพราะฉะนั้น กำหนดชำระหนี้ไอเอ็มเอฟ งวดสุดท้าย จึงเร็วขึ้น จากกลางปี 2547 เหลือเพียงกลางปี 2546 ประเทศไทยก็จะหมดหนี้
ไอเอ็มเอฟ (ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล)
ปรากฏว่า กลางปี 2546 เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” จัดงานใหญ่โตโฆษณาชวนเชื่อ อ้างผลงานออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ว่าตนเองเป็นผู้ช่วยให้ประเทศไทยปลดหนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนดถึง 2 ปี และมีการนำไปขยายผลว่าถ้าไม่ใช่ทักษิณประเทศไทยจะไม่มีทางใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้ วิธีการเช่นนี้ จึงเป็นที่น่าขบขันในสายตาของคนที่รู้เรื่องราวความเป็นมาจริงๆ กับเล่ห์เหลี่ยมการหาเสียงทางการเมือง
ถ้าจะมีวีรบุรุษ ประชาชนคนไทยที่ทนทุกข์ตลอดช่วงเวลาวิกฤติหลังลอยตัวค่าเงินบาท คือ วีรบุรุษ
ทนทุกข์ยาก ทนลำบาก ช่วยกันกอบกู้วิกฤติของชาติ
แต่อุ๊งอิ๊งจะรู้ไหม... เด็กรุ่นหลังจะรู้ไหม... “ทักษิณ” ซึ่งมีสัมพันธ์เชิงลึกกับรัฐมนตรีในรัฐบาลที่ประกาศลดค่าเงินบาทนั้น ไม่ได้รับ
ผลกระทบเหมือนคนอื่นๆ เพราะได้ล่วงรู้ข้อมูลสำคัญก่อนคนทั่วไป
อุ๊งอิ๊งลองไปถามลุงเสนาะ เทียนทอง ว่า “ใครเผาบ้านเอาเงินประกัน” มันเป็นอย่างไร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี