รัฐบาลที่ประชาชนไม่เชื่อถือ ไม่ศรัทธา จะพบกับจุดจบที่เลวร้ายทุกรัฐบาลไป
แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือ และไม่ศรัทธารัฐบาล
ประเด็นคำถามเหล่านี้ รัฐบาลทุกชุดต่างรู้ดีอยู่แก่ใจของตนว่าคำตอบคืออะไร แต่ถึงแม้ทุกรัฐบาลจะรู้คำตอบดีมาก แต่ทว่าหลายต่อหลายรัฐบาลก็ไม่สามารถทนต่อความหวานของบาป และความหวานของการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ เพราะว่ารสชาติของบาป และผลตอบแทนของการทุจริต มันแสนจะยั่วยวนจิตใจจนเกินจะหักห้ามใจได้
จนกระทั่งมีคำพูดว่า “บารมีเอาไว้ใช้ชาติหน้า เงินตราเอาไว้ใช้ในชาตินี้”
มีผู้วิจารณ์ด้านลบว่า รัฐบาลที่ชอบพูดเรื่องความโปร่งใส สุจริต ขาวสะอาด มากจนผิดปกตินั้น โดยเนื้อแท้แล้วมักจะมีพฤติกรรมชอบทำในสิ่งตรงกันข้ามกับคำพูด แต่สาเหตุที่ต้องพูดเรื่องโปร่งใส สุจริต ขาวสะอาด เป็นประจำ เพราะว่าต้องการโกหกตัวเอง แล้วหลอกให้ตัวเองเชื่อว่า ตนเองเป็นคนดี ขาวสะอาด
รัฐบาลไหนก็ตามที่มีปัญหาเรื่องการจัดซื้อที่ไม่โปร่งใสเป็นประจำ ก็หมายความได้ว่า รัฐบาลนั้นไม่โปร่งใส ต่อให้หัวหน้ารัฐบาลจะพยายามประกาศตัวอวดอ้างว่าตนเองรักชาติ
รักบ้านเมือง ทำงานหนัก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อบ้านเมือง แต่คำพูดเชิงโฆษณาชวนเชื่อ กับข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน ย่อมสวนทางกันเสมอ
รัฐบาลคสช. ที่มีหัวหน้ารัฐบาลชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ถือเป็นหนึ่งในรัฐบาล ที่แม้นายกรัฐมนตรีจะพยายามพูดตลอดว่า รัฐบาลของตนเองโปร่งใส ขาวสะอาด และสุจริต แต่ทว่าคนที่ไม่เชื่อ ก็ยังคงไม่เชื่ออยู่วันยังค่ำ ส่วนคนที่เคยเชื่อ ก็ชักจะค่อยๆ เปลี่ยนใจ จากเชื่อกลายเป็นไม่เชื่อเสียแล้ว
ประเด็นการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ถือเป็นสาเหตุหลักประการสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้รัฐบาลทุกชุดถูกตั้งคำถามมาโดยตลอดว่า โปร่งใสจริงหรือไม่ สาเหตุที่ถูกตั้งคำถามเช่นนี้ก็เพราะประชาชนมีความเชื่อฝังใจว่าการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยทุกยุคทุกสมัยไม่เคยโปร่งใส และไม่เคยขาวสะอาด
ขอย้ำว่า การที่ประชาชนส่วนใหญ่ตั้งคำถามกับเรื่องการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ มิใช่เพราะว่าประชาชนไม่ต้องการให้ประเทศชาติและกองทัพมีอาวุธไว้เพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกรุกรานจากชาติที่เป็นศัตรู แต่เป็นเพราะว่า ถามเพราะไม่ไว้ใจการจัดซื้อ และไม่ไว้ใจว่าซื้อมาแล้ว สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยจริงแท้หรือไม่
แต่ไม่ว่าประชาชนจะถาม หรือคัดค้านเรื่องการซื้ออาวุธของกองทัพมากมายสักเพียงใดก็ตาม แต่สุดท้ายคำคัดค้าน หรือการตั้งคำถามของประชาชน ก็เป็นแค่เพียงเสียงนกเสียงกาเท่านั้น
นอกจากเรื่องการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพแล้ว รัฐบาลไทยเกือบทุกชุดก็ยังถูกตั้งคำถามกับการซื้อวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ มาโดยตลอด
กรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลคสช. ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คือ การจัดซื้อเครื่องตัวจับความเร็วของรถยนต์ชนิดพกพา โดยให้เหตุผลในการจัดซื้อว่า เพื่อป้องกันการขับขี่ยวดยานพาหนะด้วยความเร็วที่เกินกำหนดกฎหมาย จนทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบนท้องถนน
โดยคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วชนิดพกพา จำนวน 849 เครื่อง วงเงินอนุมัติ 573 ล้านบาท หรือคิดแล้วราคาเครื่องละ 6 แสน 7 หมื่น 5 พันบาท ให้กับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการของกระทรวงชื่อ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา
ขอย้ำว่า ราคาที่อนุมัติให้ซื้อเครื่องมือชนิดนี้ตกเครื่องละ 6 แสน 7 หมื่น 5 พันบาท
คำถามคือ ทำไมเครื่องมือตรวจจับความเร็วที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้จัดซื้อจึงมีราคาแพงมากมายถึงเพียงนี้ ผู้อนุมัติใช้ฐานคิดอะไรในการอนุมัติ
ส่วนคำถามที่ว่า ซื้อมาแล้วจะสามารถลดปัญหาอุบัติเหตุร้ายแรงบนท้องถนนของประเทศไทย และลดการบาดเจ็บล้มตายของผู้ใช้รถใช้ถนนได้จริงหรือ ก็เป็นคำถามใหญ่ แต่ไม่มีใครหน้าไหนในรัฐบาลชุดนี้จะสามารถให้คำรับรองได้
ย้อนกลับไปที่เรื่องราคาของเครื่องตรวจจับความเร็วชนิดพกพา ผู้ที่ติดตามเรื่องนี้ยังคงสับสนว่า ตกลงแล้วราคาเครื่องที่คณะรัฐมนตรีอนุมัตินั้นราคาเท่าไรกันแน่ เพราะบางคนบอกว่าเครื่องละ 9 แสนบาท แต่บางคนบอกว่า 6 แสน 7 หมื่น 5 พันบาท
เอาแค่เรื่องราคาอนุมัติซื้อ เพียงเรื่องเดียวก็สับสนอลหม่านจนเกินจะบรรยายแล้ว เพราะเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามเรื่องนี้มากๆ เข้า ก็ได้รับคำตอบว่า ราคาเครื่องละ 6 แสน 7 หมื่น 5 พันบาท ครั้นเมื่อถามต่อไปว่า แล้วราคาเดิมที่เคยบอกว่าเครื่องละ 9 แสนบาท คิดมาจากฐานอะไร ทำไมจึงแพงกว่าราคาหลังมากถึง 2 แสน 2 หมื่น 5 พันบาท
สรุปว่า เรื่องราคาของเครื่องตรวจจับความเร็วชนิดนี้ ยังกลายเป็นประเด็นค้างคาใจประชาชนที่ติดตามข่าวนี้ต่อไป
ข้อที่น่าสงสัยคือ ราคากลางของเครื่องมือตัวนี้ ที่ภาครัฐอ้างถึงเพื่อใช้เป็นเครื่องประกอบการตัดสินใจอนุมัติจัดซื้อมาจากไหน ใครเป็นคนทำราคากลาง ใครจัดจำหน่าย ใครผลิต และของชนิดนี้มีมาตรฐานสากลหรือไม่ แล้วมีประเทศไหนบ้างที่ใช้ของชนิดนี้ แล้วประเทศอื่นเขาซื้อกันตัวละเท่าไร ฯลฯ
แต่หากจะถามให้ตรงประเด็นแบบตีแสกหน้า ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันก็คือ งานนี้มีการล็อกสเปกหรือไม่
คนที่เคยทำมาหากิน หรือทำมาค้าขายกับรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐมาเป็นระยะเวลานานพอประมาณ (12-14 ปี) เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ราคากลางที่ใช้กันในแวดวงราชการไทยนั้น มีความน่าเคลือบแคลงมาก แต่ที่สำคัญคือ การตั้งราคากลางให้สูงมากๆ ก็เพื่อจะได้มีเงินทอน หรือเงินใต้โต๊ะให้กับคนบางคน และบางกลุ่มได้
ซึ่งก็หมายถึงการ “ฮั้ว” นั่นเอง
เพราะฉะนั้น ราคากลางที่หน่วยงานภาครัฐได้มานั้น จึงเป็นราคาที่หลายคนบอกว่า เป็นราคา “กลางเวหา” คือสูงเกินจริงหลายสิบจนถึงหลายร้อยเท่า
คนที่เคยทำมาหากินกับการขายของให้ภาครัฐของไทยย้ำว่า การตั้งราคากลางให้สูงเข้าไว้ คือการทุจริตในเบื้องต้น เพราะเมื่อตั้งราคากลางสูงมากๆ สุดท้ายแล้วเมื่อมีการฮั้วกันระหว่างผู้เข้าประมูลงานของภาครัฐ โดยมีคนในภาครัฐเข้าไปมีส่วนร่วมฮั้วด้วย กลอุบายต่อมาก็คือ เมื่อถึงเวลาประมูล ก็ลดราคาขายให้ต่ำกว่าราคากลางที่ตั้งไว้เพียงเล็กน้อย แล้วคนที่มีช่องทางการทุจริตที่แนบเนียบก็สามารถชนะประมูลไปโดยง่ายๆ ด้วยการอ้างว่าตั้งราคาขายต่ำกว่าราคากลาง
เรื่องการตั้งราคากลางกับการทุจริตการจัดซื้อของภาครัฐ เป็นปัญหาคลาสสิกที่เรื้อรังมานานแสนนาน และขอย้ำว่าเป็นปัญหาที่คนผู้มีอำนาจรัฐต่างรู้กันเป็นอย่างดี แต่ถึงแม้จะมีผู้รู้กลอุบายนี้เป็นอย่างดี แต่ทว่าก็ไม่เคยขจัดให้ปัญหานี้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยได้ เพราะว่าผลประโยชน์จากการฮั้วกัน มันมากมายมหาศาล สามารถแบ่งกันได้ตั้งแต่หัวแถวยันหางแถว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี