เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมมีโอกาสเข้าร่วมบรรยายการสัมมนาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ “การมีส่วนร่วมของแรงงานข้ามชาติ เครือข่ายภาคประชาสังคม และองค์กรภาคธุรกิจ ในการยกระดับการแก้ไขปัญหาแรงงานเด็ก แรงงานบังคับ ค้ามนุษย์และการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย”ซึ่งเป็นจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อกับการปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงแรงงาน ที่คณะผู้บริหารลาออกกัน
ยกชุด ผมเลยถือโอกาสนี้ สะท้อนข้อคิดเห็นที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับนโยบายเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวในประเทศ
ถ้าแฟนคอลัมน์ยังจำได้ ผมเคยเขียนเรื่องนี้ ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2560 ว่ามาตรการแรงงานต่างด้าวที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ สร้างความสับสนให้ทั้งแรงงานต่างด้าวและนายจ้าง อันเป็นผลมาจากการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ ลาว พม่า และกัมพูชา ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ตรงจุด
วิธีตาม MOU คือ “การกวักมือเรียกคนงานที่อยู่นอกประเทศเข้ามาทำงานในประเทศ ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาโดยตรงของคนงานที่หนีเข้าประเทศไทยมาแล้ว” ขั้นตอนคือ นายจ้างทำหนังสือขอโควตากับกระทรวงแรงงาน เพื่อส่งเรื่องไปยังประเทศต้นทางที่เราต้องการแรงงานของเขา โดยกระทรวงแรงงานของประเทศนั้นๆ ก็จะนำชื่อแรงงานที่ลงทะเบียนไว้ มาให้นายจ้างฝั่งไทยเลือก แล้วค่อยเข้าสู่กระบวนการประทับตราวีซ่าแรงงาน ออกหนังสือทำงาน และนำเข้าคนงานมาในประเทศ
ผลคือ แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเป็นล้านคนที่ทํางานในประเทศไทยอยู่แล้ว ต้องกลับประเทศของตน เพื่อลงทะเบียนใหม่และทำหนังสือเดินทาง ซึ่งนายจ้างก็ขาดคนทำงานกะทันหัน และหากทำตามวิธีการ MOU ตรงๆ ก็ไม่มีหลักประกันว่าจะได้แรงงานคนเดิมกลับมาทำงานให้อีก เพราะเค้าต้องกลับประเทศไปก่อนเพื่อกลับมาใหม่
และแม้รัฐบาลไทยพยายามช่วยโดยติดต่อให้รัฐบาลประเทศต้นทางเข้ามาทำหนังสือเดินทางในประเทศไทย สุดท้ายก็ทำได้แค่ พม่าและกัมพูชา ส่วนลาวไม่ยอมเข้ามาทำให้ โดยขณะนี้การออกหนังสือเดินทางหรือพิสูจน์สัญชาติทำได้ช้ามาก
ผมร่วมคิด ขอเสนอแนวทางดังนี้
1.) “พิสูจน์สัญชาติกลุ่ม” เราควรทำประวัติแรงงานต่างด้าวให้เรียบร้อย ส่งรายชื่อทุกคนไปให้ประเทศต้นทางในคราวเดียวรวมเลย เช่น พม่า 3 แสนคน กัมพูชา 2 แสนคน ลาว 2 แสนคน ระหว่างรอตอบกลับก็ให้แรงงานได้ทำงานไปก่อน 2 ปี
เหตุผล คือ ไม่ต้องถึงขนาดในประเทศต้นทางออกหนังสือเดินทางก็ได้ แค่เขายอมรับว่าเป็นคนของชาติเขาก็พอ แต่ขณะนี้เป็นการให้แรงงานไปสู่กลไกพิสูจน์สัญชาติ“รายบุคคล”เท่านั้น มันทำได้ช้าและไม่มีวันจบ เพราะฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของเพื่อนบ้านเราไม่สมบูรณ์ ที่หนักเลยคือประเทศลาว นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาไม่เข้ามาพิสูจน์สัญชาติหรือทำหนังสือเดินทางให้ในประเทศไทย
คิดนอกกรอบคิดใหม่ๆ ดีกว่าครับ เราทำทะเบียนแรงงานไปลอตใหญ่คราวเดียวมันคุยง่าย เห็นภาพชัดกว่า เราอาจเสนอตัวให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูลทะเบียนราษฎร์แบบมิตรเพื่อนบ้านอาเซียน ปัญหาเค้าก็ปัญหาเราเช่นกัน เรื่องนี่รัฐบาลควรยกขึ้นบนโต๊ะเจรจาในระดับอาเซียน
2.) “บังคับทำประกันสังคม” ควรให้แรงงานต่างด้าวทุกคนไม่ว่าจะทำงานบริษัทหรือทำงานบ้านทำประกันสังคมให้หมด
เหตุผล คือ แรงงานเจ็บป่วยจะได้รับการดูแล ที่สำคัญข้อมูลประวัติจะเป็น “ข้อมูลเป็น” ไม่ใช่ข้อมูลตาย มันจะเกิดการปรับปรุงให้ทันสมัยตลอดโดยระบบประกันสังคมที่มีอยู่แล้ว เพราะเป็นธรรมดาที่มนุษย์ต้องป่วยเข้ารักษาตัว กระสุนนัดเดียวได้ประโยชน์หลายทาง ไม่ต้องเปลืองงบประมาณสร้างระบบติดตามใหม่ ไม่ไปกังวลเรื่องตัวปลอม เพราะกรุ๊ปเลือดรูปพรรณสัณฐานโรงพยาบาลต่างๆต้องตรวจโดยธรรมชาติ กองทุนประกันสังคมโตขึ้นได้เงินเพิ่มอีกต่างหาก
3.) “การดูแลลูกต่างด้าวต้องชัดเจน” ควรมีมาตรการดูแลลูกของแรงงานต่างด้าวที่เกิดในประเทศ ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายก็ตาม เด็กกลุ่มนี้กลับไม่ได้ไปไม่ถึง คือจะอาจใช้ภาษาหรือมีวิถีชีวิตอย่างคนไทยไปแล้ว และกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดได้ยาก แต่หากจะอยู่ในประเทศไทย ก็ไม่มีสถานะความเป็นบุคคลไทยอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจเกิดปัญหาความมั่นคงตามมาในอนาคต
แม้ในปี 2551 จะมีการแก้ไข พ.ร.บ.สัญชาติ ให้ดีขึ้น มีแนวทางรับรองฐานะเด็กต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทย ให้เป็นไปตามกำหนดในกฎกระทรวง แต่กว่าจะได้กฎกระทรวงก็ใช้เวลาอยู่หลายปี และที่มีการแก้ไขล่าสุด บังคับใช้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา ก็ไม่สะท้อนความจริงเสียเลย ตั้งแต่เงื่อนไขที่พ่อแม่ต้องอาศัยในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 15 ปี หรือเด็กคนนั้นต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีไปแล้ว หรือจะต้องเป็นถึงผู้ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศ จึงจะได้สัญชาติไทย … คำถามคือ แล้วเด็กระดับกลางๆ จะทำยังไง ? โดยเฉพาะเด็กจำนวนมากที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น แต่ต้องมีสถานะอยู่อย่างผิดกฎหมาย รัฐต้องตื่นตัวนะครับ เราปลูกเมล็ดอะไรเราก็ได้ต้นไม้อย่างนั้น เพราะปัญหาแรงงานเถื่อน ไม่ได้ถูกแก้ไขต่อเนื่องด้วยวิธีที่ถูกต้องในช่วง 10 ปีนี้
ขอทิ้งท้ายถึง 6 คำถามของนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะส่วนหนึ่งในข้อที่ 3 ที่ว่า “เห็นด้วยมั้ยกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาในมาตรการเพื่อป้องกันและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย (IUU)” เรื่องแรงงานต่างด้าวนั้น เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจประมงที่ใช้แรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมาก หากเราไม่รีบแก้ไข ต่างชาติโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพยุโรปก็จะกีดกันไม่รับซื้อสินค้าจากไทย ที่ผ่านมารัฐบาลก็ทำงานจนสหรัฐอเมริกายอมรับถึงขั้นเปิดทำเนียบขาวต้อนรับกันเลยทีเดียว นั่นอาจเป็นความสำเร็จทางธุรกิจเพื่อเอาใจลูกค้าสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา ประเทศคู่ค้าใหญ่อันดับ 3 ของไทย และเป็นคู่ค้าที่ไทยได้ดุลการค้าอันดับหนึ่งด้วย แต่ผลกระทบจริงๆ คือ ธุรกิจเล็กๆ อาจต้องปิดตัวเพราะคนงานหนีกลับบ้าน ด้วยขั้นตอนที่มากและสับสนของภาครัฐนั่นเอง
ขณะนี้เหลือเวลาอีก 1 เดือนเศษ พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ที่มีการเพิ่มโทษแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ปรับถึงหัวละ 4 แสนบาท ก็จะมีผลบังคับใช้แล้ว ในวันที่ 1 มกราคม ปี 2561 แต่การแก้ไขแรงงานต่างด้าวยังทำได้ล่าช้า และดูจะยังเกาไม่ถูกที่คัน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ที่รัฐบาลควรจะเร่งทำงาน คิดนอกกรอบบ้าง การเปลี่ยนรัฐมนตรีแรงงานใหม่จะทันต่อสถานการณ์หรือไม่ คงจะได้ติดตามกันต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี