การเมืองการปกครองราชอาณาจักรไทยตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นใหญ่ ที่มุ่งหวังให้ราชอาณาจักรไทยเป็นเสรีประชาธิปไตยผ่านระบบการเลือกตั้งตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในรัฐสภา เพื่อออกกฎหมายและแต่งตั้ง และกำกับคณะรัฐบาลนั้น ก็ยังคงมีสภาพล้มลุกคลุกคลานแบบก้าวไปข้างหน้าหนึ่ง แล้วถอยหลังกลับมาสอง สลับไปมาระหว่างรัฐบาลเผด็จการทหารการเมืองกับรัฐบาลนักการเมือง ซึ่งทั้ง 2 ประเภทก็มักจะมีลักษณะการใช้อำนาจโดยมิชอบแฝงด้วยการหาประโยชน์เข้าตัว ฉ้อฉล โกงกินบ้านเมือง
สังคมไทยเลยตกอยู่ในภาวะแบบหนีเสือปะจระเข้ ซึ่งมีคำถามด้วยความกังวล หวาดระแวงว่า แล้วจะเป็นกันเช่นนี้ไปอีกยาวนานเท่าใด ที่ผ่านมาเป็นระยะเวลา 85 ปีนั้น สังคมไทยเพียงพอหรือยังกับสภาพการณ์เช่นนี้ และถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่จะตั้งปณิธานกันในวันนี้ว่า สังคมไทยต่อไปนี้จะต้องไม่หนีเสือเพื่อปะจระเข้อีกแล้ว ต้องไม่มีทั้งเสือและจระเข้การเมืองสามานย์ให้ได้เห็นกันอีกแล้ว
สังคมไทย จึงต้องคิดอ่านและดำเนินการปราบทั้งเสือและจระเข้ให้ได้ เพื่อไทยเราจักได้เป็นสังคมที่เป็นเสรีมีความเป็นประชาธิปไตยกันเสียที ซึ่งเราร่วมกันก็ต้องมุ่งมั่นตั้งใจ เพื่อให้ทหารหาญเป็นทหารอาชีพ ปกป้องความมั่นคงปลอดภัยของบ้านเมือง มิใช่เข้ามาแทรกแซงการเมืองและเถลิงอำนาจการเมือง เพื่อให้สนามการเมืองของไทยเป็นสนามที่นักการเมืองฟิตด้วยองค์ความรู้ จิตใจ และสติปัญญาเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบต่อส่วนรวมและด้วยศีลธรรมจรรยาอันดีงาม
ไทยต้องเลิกหวังจะให้ฝ่ายกองทัพเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมืองอยู่เป็นระยะๆ แล้วก็เถลิงสุข อย่ามัวคาดหวังว่า ฝ่ายกองทัพด้วยตัวตนเองจะปฏิเสธความยั่วยวนน่าพิสมัย น่าชื่นชม ชมเชยของอำนาจได้
ขณะเดียวกัน ไทยเราต้องไม่หวังเหมือนกันว่า บรรดาคนในแวดวงการเมืองจะกลับใจด้วยตนเอง ปฏิรูปตนให้ใสสะอาด มีจิตสำนึกของการรับใช้ชาติ มิใช่รับใช้ตัวตนและพรรคพวกเท่านั้น
ฉะนั้น ไทยเราต้องฝากความหวังให้กับตนเอง เพราะเราเป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของอำนาจรัฐ อำนาจอธิปไตยทั้งปวง และเป็นเจ้าของเงินภาษีที่แปลงมาเป็นงบประมาณของประเทศ
เมื่อเราชาวไทยเป็นเจ้าของประเทศ ก็ต้องรู้เห็นกับความเป็นไปทุกประการเพื่อเราจักได้เป็นผู้กำกับ ควบคุม ร่วมคิดเห็นและตัดสินใจต่อเรื่องบ้านเมืองได้ ต้องรู้ ตระหนักหนักแน่นว่า เราทั้งปวงเป็นเจ้านายของบรรดาผู้อาสาเข้ามาบริหารปกครองบ้านเมือง ฉะนั้นเขาเป็นผู้รับใช้เราและเขาไม่มีสิทธิทำการเหนือพวกเราประชาชน หรือละเมิดประชาชน บ่อนทำลายความคาดหวังด้วยการประพฤติมิชอบ
ประชาชนพลเมืองไทยจะกระทำการเป็นเจ้าของประเทศได้สมจริงสมจัง สังคมต้องเปิดกว้างด้วยข้อมูลข่าวสาร และการเข้าถึงโดยเฉพาะกฎเกณฑ์ระเบียบว่าด้วย การบริการของภาครัฐ แผนดำเนินงาน และการใช้จ่ายงบประมาณที่สอดคล้องตอบสนองผลประโยชน์ของส่วนรวม
ประชาชนพลเมืองต้องอยู่ใกล้ชิดผู้ใช้อำนาจรัฐ หมายถึงการกระจายอำนาจและการใดที่ภาคประชาชนผ่านองค์กรชุมชน องค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรภาควิชาชีพ สามารถทำได้เอง ดูแลตนเองได้ ก็ต้องให้ทำตามนั้น เป็นการโอนภาระรับผิดชอบจากภาครัฐและลดขนาดภาครัฐไปในตัว
แต่อยู่ๆ ประชาชนพลเมืองจะรวมตัวเรียกร้องและเป็นใหญ่ด้วยตนเองทันทีทันควัน คงเป็นไปด้วยความยากลำบาก อาจจะต้องทำโดยการริเริ่มและขับเคลื่อนด้วยกลุ่มคนที่มีจิตอาสา มีความหวังดีต่อบ้านเมือง มิมุ่งหวังให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐเป็นการตอบแทน แต่กระทำเพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติ เพื่อให้หลุดพ้นจากสภาวะเสือและจระเข้การเมือง โดยจะร่วมกันปราบทั้งเสือและจระเข้การเมืองหรือนัยหนึ่งเพื่อให้ฝ่ายกองทัพต้องอยู่แต่ในค่าย และล้างมือจากการเมือง และฝ่ายผู้อาสาการเมืองต้องไม่กล้าคิดอ่านกระทำการใดๆ ที่มีความเป็นสามานย์ เพราะเคารพและเกรงกลัวประชาชนพลเมือง
การเปลี่ยนแปลงใดๆมักเริ่มจากกลุ่มคนไม่กี่คนที่มีความคิดเห็นพ้องต้องกันว่าด้วยเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนรูปโฉมประเทศให้เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย ในกรณีนี้ก็เป็นการสร้างความเข้มแข็งในการเป็น “พลเมือง” ให้กับประชาชน ให้ตระหนักรู้ เข้าใจและมั่นใจ ร่วมกันเป็นเจ้าของประเทศ ฉะนั้นเป็นผู้มีอำนาจเหนือผู้อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมือง เพื่อใช้อำนาจรัฐใดๆ ทั้งสิ้น
พลเมืองจะเข้มแข็งได้นอกจากองค์ความรู้ว่าด้วยเสรีประชาธิปไตยแล้ว ก็ต้องรู้ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของประเทศ ประเด็นปัญหาต่างๆ ของประเทศ และสถานะของประเทศในเวทีโลก พลเมืองต้องมีทัศนคติ กรอบความคิดค่านิยมหรือมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เป็นไปในทิศทางของการเสริมสร้างและรักษาสังคมเสรีประชาธิปไตย ขจัดการติดกับค่านิยมที่บ่อนทำลายสังคมเสรีประชาธิปไตยและศีลธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม เช่น ทัศนคติการเกรงกลัวผู้มีอำนาจยศถาบรรดาศักดิ์ที่ไร้ศีลธรรม ทัศนคติเกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์พึ่งพาต่างตอบแทนในทางที่ผิด หรือทัศนคติว่าด้วย การเกรงอกเกรงใจต่อผู้มีพระคุณ ทั้งที่เขาละเมิดกฎหมายและศีลธรรม เป็นต้น
ประเด็นที่จะเรียกร้องและขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนรูปโฉมที่สำคัญก็มี อาทิ
- การปฏิรูปพรรคการเมืองให้เป็นของประชาชนและสมาชิก
- การกระจายอำนาจ
- การปฏิรูประบบราชการให้เล็กลง และเป็นผู้ให้บริการรับใช้ประชาชน
- การโอนงานสังคม งานพัฒนาให้กับชุมชน องค์การวิชาชีพ และองค์การภาคประชาสังคม หรือทำงานแทนหน่วยราชการ
- การกระจายความเจริญก้าวหน้าให้ทั่วถึง เพื่อลดช่องว่างและความเหลื่อมล้ำ
- การสร้างระบบสังคมที่มั่นคง เช่น เงินเดือนประชาชน (Citizen Salary)
- การรักษาพยาบาลที่ย่อมเยา การได้เล่าเรียนและฝึกอบรมฟรีหรืออย่างน้อยราคาย่อมเยาด้วย
- การเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสารอย่างกว้างขวาง เป็นต้น
เมื่อประชาชนยิ่งรู้ ความเข้มแข็งก็เกิดขึ้น การกำกับควบคุมผู้ใช้อำนาจรัฐก็ง่ายขึ้น และความเกรงอกเกรงใจ การเคารพประชาชนก็จะตามมา
เมื่อไม่มีเสือ ไม่มีจระเข้ทางการเมืองแล้ว ประเทศไทยก็จะพัฒนาไปโลด โดยเฉพาะด้วยการขับเคลื่อนด้วยพลังของประชาชนพลเมืองไทยที่แข็งแกร่ง
ก็ขอเชิญชวน มาร่วมคิด ร่วมพลัง ขับเคลื่อนกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี