ประเทศไทยเราแม้เป็นประเทศเอกราชมาช้านาน แต่ยังไม่หลุดพ้นจากการถูกจัดระดับในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา(Developing) หรือกลุ่มประเทศรายได้ระดับปานกลาง(Middle-Income Level) หรือในกลุ่มประเทศที่ตกอยู่ในสภาวะติดกับดักรายได้ปานกลาง (Middle-Income Trap) ซึ่งหมายถึงประเทศที่มีค่าแรงงานค่อนข้างสูง แต่ยังขาดองค์ความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของตนเอง จนต้องพึ่งพาต่างประเทศ ส่งผลให้ขีดความสามารถการแข่งขันในระดับโลกมีขีดจำกัด
มองอีกแง่หนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่าไทยเป็นประเทศกึ่งสมัยใหม่ (Modern) กึ่งล้าหลัง(Traditional) โดยการพัฒนาต่างๆ ยังไม่ทั่วถึง แต่ละพื้นที่ยังมีความแตกต่างหรือความเหลื่อมล้ำ แม้บ้านเมืองส่วนหนึ่งมีความเจริญมาก แต่ยังมีอีกหลายๆพื้นที่ที่มีความเจริญน้อย ซึ่งความทัดเทียมที่ยังไม่ครบครันทั่วถึงนี้ ทำให้การสร้างความเสมอภาคยังเป็นความท้าทายสำคัญของประเทศ
ขณะเดียวกันเป้าหมายการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยดังที่ระบุในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ มาตลอดตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ยังไม่บรรลุจุดประสงค์ การเมืองยังไร้เสถียรภาพ ไม่แน่นอน ผู้กุมอำนาจบริหารมักตกหล่นเรื่องธรรมาภิบาลเป็นระยะๆ ซึ่งบั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของประเทศ หรือเป็นกรอบที่จำกัดขีดการพัฒนาต่างๆ เป็นอุปสรรค ตัวรั้งความเจริญก้าวหน้าของสังคม
การหลุดพ้นสภาพดังกล่าว เป็นสิ่งที่ประชาชนพลเมืองไทยพึงปรารถนาอย่างที่สุด เพราะการคงสภาพติดกับทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ ถือเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศชาติถดถอย แข่งขันกับใครไม่ได้ ส่งผลให้ประเทศอื่นๆ ก้าวแซงหน้าไปเรื่อยๆ นอกจากนั้นยังทำให้ถูกดูแคลนในสังคมโลกอีกด้วย
พวกเราชาวไทยคงปล่อยให้สังคมไทยอยู่กับสภาวการณ์เช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ถึงเวลาที่ทุกคนต้องหันมาร่วมแรงร่วมใจ ขับเคลื่อนให้ประเทศก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว(Developed Country) อย่างเร่งด่วน เพื่อก้าวไปสู่ความทันสมัยทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมอย่างประเทศอื่นๆ ที่พัฒนาแล้วเสียที
ความทันสมัยที่ว่านั้นหมายถึง การเป็นสังคมเปิดที่ประชาชนพลเมืองมีสิทธิเสรีภาพทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม คือมีความเป็นตัวของตัวเอง มีความเป็นเจ้าของประเทศและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ปราศจากการถูกขู่เข็ญ ถูกบังคับ ได้รับการบริการและตอบสนองจากรัฐ
ในวงวิชาการและการเมืองทั่วไปก็คิดเห็นกันว่า ประเทศจะพัฒนาได้นั้น การบ้านการเมืองต้องมีเสถียรภาพเสียก่อน ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เพราะถ้าบ้านเมืองขาดเสถียรภาพ แล้วการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจะไปไม่ได้ เพราะสภาพแวดล้อมไม่อำนวย
หลายๆ ประเทศเลยคิดว่า จะให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพได้ก็ต้องมีการเมืองการปกครองแบบเผด็จการ จะด้วยองค์บุคคล ด้วยพรรคเดียวหรือด้วยกองทัพก็ตาม โดยการมีเสถียรภาพนั้นเพื่ออำนวยให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเกิดขึ้นได้ หรือนัยหนึ่งอยากให้ปากท้องเต็มอิ่ม ก็ต้องแลกกับการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ คือต้องให้สังคมอยู่กันด้วยการกดขี่ บังคับ หรือด้วยผู้นำนำพาเท่านั้น
ในทางตรงกันข้าม ก็มีอีกหลายประเทศที่เห็นว่า เสถียรภาพนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยระบบการบ้านการเมืองแบบเปิดกว้าง คือขับเคลื่อนด้วยสิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชนพลเมืองอย่างกว้างขวาง พลังประชาชนเป็นอำนาจ เสริมสร้างและประคองเสถียรภาพ ประชาชนเป็นใหญ่ด้วยองค์ความรู้ ด้วยการตระหนักรู้ในเรื่องสิทธิและหน้าที่
ในขณะที่ไทยเรา กำลังมุ่งไปเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย คือประสงค์ให้ประเทศก้าวหน้าอย่างมีเสถียรภาพด้วยระบบเปิด แต่ด้วยอุบัติเหตุทางการเมืองหลายๆ ครั้ง ที่มักจะทำให้หันเหไปในทิศทางของการสร้างเสถียรภาพเพื่อการพัฒนาด้วยลัทธิอำนาจเผด็จการนิยม
กรณีไทยเป็นเช่นนี้ ก็เนื่องจากประชาชนพลเมืองไม่ได้รับโอกาสเป็นเจ้าของประเทศอย่างจริงจัง มักจะถูกลิดรอน ปิดกั้นการมีส่วนร่วม ปิดกั้นการฝึกฝนการทำหน้าที่พลเมือง ด้วยฝีมือกลุ่มคนที่เข้ามายึดหรือช่วงชิงอำนาจรัฐ ไม่ว่าฝั่งนักการเมืองหรือฝั่งกองทัพก็ตาม ที่ฝักใฝ่แนวคิดอำนาจนิยม
โดยล่าสุดข้ออ้างที่ใช้เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางประชาธิปไตยของประชาชน คือกล่าวหาว่า ที่บ้านเมืองไร้เสถียรภาพ ก็เพราะประชาชนนั่นแหละที่แห่กันออกมาประท้วงและเรียกร้อง ทั้งๆ ที่หากย้อนดูต้นเหตุแท้จริง ก็ไม่ยากที่จะพบว่า การไร้เสถียรภาพดังกล่าว เกิดจากประชาชนไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปกับการที่ผู้บริหารประเทศมิได้ตอบสนองผลประโยชน์ประเทศชาติ แต่ตอบสนองตนเองและพวกพ้องต่างหาก ดังนั้นคงพูดได้ว่า ต้นเหตุแท้จริงของความวุ่นวาย มาจากผู้บริหารประเทศ ซึ่งไม่เกรงกลัวประชาชน แล้วประชาชนได้แสดงออกซึ่งความไม่พึงพอใจ แต่ควบคุมไม่ได้จริง
ทางออกก็คือ ประชาชนต้องเข้มแข็ง และจะเข้มแข็งได้ก็เมื่อได้รับการฝึกฝนหน้าที่พลเมือง และการมีส่วนร่วมจนเชี่ยวชาญแล้ว ประชาชนพลเมืองก็จะสามารถเป็นใหญ่ได้จริงตามเจตนารมณ์ประชาธิปไตย สามารถควบคุมฝ่ายการเมืองใดๆ ให้ไม่ประพฤติมิชอบได้ ซึ่งส่งผลให้ไม่มีสภาวะไร้เสถียรภาพในอนาคตได้อย่างแท้จริง
ฉะนั้น การก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วนั้น การเมืองจะต้องมีประชาชนเป็นใหญ่ เป็นปัจจัยสำคัญให้เสถียรภาพทางการเมืองเกิดได้อย่างยั่งยืน เมื่อเสถียรภาพทางการเมืองเกิดขึ้นแล้ว จะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ดำเนินไปได้อย่างมั่นคง เมื่อนั้นประเทศไทยก็สามารถจะก้าวไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้อย่างทัดเทียมนานาอารยประเทศ สมดั่งความมุ่งหมายของชาวไทย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี