ยังเป็นเรื่องที่พูดไม่จบมาอาทิตย์กว่าแล้ว เพราะยังหาตรรกะที่แท้จริงไม่ได้...
การที่จู่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาร่อนโจทย์ 6 ข้อ เชิญชวนทุกคนตอบคำถามถึงสถานการณ์บ้านเมืองในอดีต ปัจจุบันและอนาคต นอกจากทำให้ใครหลายคนสงสัยเป็นการแฝงนัยอะไรหรือไม่แล้ว? ยังทำให้สงสัยต่ออีกว่า แท้จริงแล้วนายกฯต้องการโยนหินถามทางอะไร หรือไม่? หรือต้องการจะชี้นำประชาชนเรื่องอะไร? แล้วผลของคำตอบนี้ นายกฯหวังว่า จะเอามาทำอะไร? สำหรับเหตุผลที่นายกฯบอกว่า “ที่ผมถามเพราะอยากให้ทุกคนที่เป็นคนไทยได้พิจารณาตัดสินใจตอบคำถามผม”
เมื่อ 2 วันก่อน ก็มีคนตั้งข้อสงสัยว่า ถ้าต้องการรู้คำตอบแบบไม่มีอคติ เหตุใดจึงไม่ทำโพลล์? เพราะการขอให้ประชาชนตอบคำถามเช่นนี้ ถือว่าผิดหลักการหรือไม่? จริงหรือไม่ที่ต้องแสดงบัตรประชาชนของผู้จะตอบ ก่อนจะตอบคำถาม 6 ข้อ ของนายกฯ? ซึ่งสงสัยว่า ถ้าจริง แล้วใครจะกล้าตอบแบบไม่ดี? ผลของคำตอบจึงไม่น่าจะนำมาวัดความคิดประชาชนได้โดยตรง จริงหรือไม่? และเป้าหมายแท้จริงของนายกฯคืออะไรกันแน่?
มีข้อสังเกตว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายกฯตั้งคำถามให้ประชาชนตอบ ก่อนหน้านี้ราว 6 เดือน นายกฯก็เคยตั้งคำถามทำนองนี้ แม้ครั้งนั้นจะไม่โด่งดังเท่าครั้งนี้ แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าคสช.กำลังส่งสัญญาณการอยู่ยาว ใช่หรือไม่? พอตั้งคำถามอีกครั้ง หลายคนจึงเริ่มมั่นใจความคิดนี้มากขึ้น ขณะที่หลายคนแม้จะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์มาตลอด แต่กลับเริ่มรู้สึกตั้งคำถามในใจต่อความเชื่อมั่นตัวพล.อ.ประยุทธ์บ้างแล้วว่า ตกลงอัศวินขี่ม้าขาวผู้เป็นกลางต่อทุกสิ่ง ผู้ต้องการขจัดความขัดแย้ง กำลังจะกลายมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นทางการเมืองเช่นนั้นหรือ? ถ้ามาจริงก็คงไม่แปลก แต่จะมารูปแบบไหน?
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของคสช.ซึ่งไม่รู้นายกฯไปฟังใครมาบ้างก็ตาม แต่การกระทำบางอย่าง ทำให้ประชาชนคิดได้หลายทางแล้วตอนนี้ เพราะก่อนเรื่องตั้งคำถามก็มีเรื่องปลดหรือไม่“ปลดล็อก”พรรคการเมือง? เพราะจากไทม์ไลน์การเลือกตั้งและสิ่งที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 และกฎหมายกำหนดไว้ ดูจะขัดแย้งกับพฤติกรรมที่รัฐบาลทำตอนนี้ หรือไม่?
ทีแรกก็เป็นเพียงข้อสงสัยของพรรคการเมืองที่ประชาชนมองว่า คงอยากจะเลือกตั้งจนตัวสั่น? แต่นานวันเข้า ประชาชนก็เริ่มสงสัยเหมือนกันว่า ตกลงจะเอาอย่างไรแน่? จะปรับเปลี่ยนโรดแมปอีกหรือไม่? นักลงทุน พ่อค้า ประชาชนคงไม่ได้เร่งรัดให้มีการเลือกตั้ง แต่คงต้องการความชัดเจนว่า จะเลื่อนไปเมื่อไหร่? สภาวการณ์แบบนี้ดูคลุมเครือเหมือนปกปิดอะไรบางอย่าง? ส่งผลมากต่อการลงทุน สิ่งเหล่านี้ถ้ามีมากเข้า สักวันอาจบดบังความเชื่อมั่น ศรัทธาที่ประชาชนมีต่อ พล.อ.ประยุทธ์มากขึ้นทุกที อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยถึงความคลุมเครือเรื่อง“ปลดล็อก”การเมือง จะเกี่ยวข้องกับข้อสงสัยของประชาชนต่อ 6 คำถามนายกฯว่า สุดท้ายคือเรื่องเดียวกันใช่หรือไม่? แล้วตกลงจะมีพรรคคสช.หรือไม่?
ข้อสงสัยเรื่องพรรคคสช.มีมานานแล้ว และหากจะมี ก็คงไม่แปลก และความเป็นจริงอาจจะมีมากกว่า 1 พรรคก็ได้? ซึ่งบางคนประกาศตัวแล้ว ส่วนที่ว่าไม่แปลกก็เพราะในอดีตก็เคยมีอย่างนี้ หากคิดให้รอบคอบ คงพอรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป จะถูกมองอย่างไร? เรื่องในอดีตเป็นคำตอบได้อย่างดี อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้อาจมีมุมมองและวิธีที่แตกต่างออกไป ประเด็นตั้งพรรค คสช.แม้น่าเชื่อว่า คงไม่มีชื่อพล.อ.ประยุทธ์ในรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งครั้งหน้า หากแต่กฎหมายการได้มาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองได้เอื้อให้มี สว.แบบใหม่ มีวิธีเลือกนายกฯแบบใหม่ ที่ทำให้อะไรก็เกิดขึ้นได้? สิ่งสำคัญตอนนี้คือ การตั้งคำถามต่อเรื่องการแยกแยะบทบาทของการเป็นผู้นำปัจจุบัน และการเป็นผู้แข่งขันในอนาคต ถามถึงความเป็นธรรมและความเหมาะสม
ที่น่าตกใจคือ พล.อ.ประยุทธ์บอกชัดเจนในคำถามข้อ 2 ที่ว่า“การที่ คสช. จะสนับสนุนพรรคการเมืองใด ถือเป็นสิทธิ์ของ คสช. ใช่หรือไม่? เพราะนายกฯก็ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งอยู่แล้ว” ถ้าเกิดผลโหวตออกมาว่าทำได้ นายกฯจะทำอย่างนั้นหรือ? เอาเข้าจริง คงต้องถามว่าวิธีการแบบนี้ถูกต้องจริงๆหรือ? จะยืนยันหรือไม่ว่าบรรดาคนในรัฐบาลคสช.ไม่เกี่ยวข้องใดเลยกับพรรคที่จะสนับสนุน? มากกว่านั้น ข้อสงสัย 2 ข้อนี้ ยังทำให้บางคนคิดต่อทำนองว่า ยังไม่ปลดล็อกการเมือง เพราะแท้จริงแล้วกำลังรอให้พรรคที่ตั้งใหม่แต่งตัวให้เสร็จก่อน ใช่หรือไม่? ซึ่งพยายามคิดว่าคสช.ไม่น่าใจแคบเช่นนั้น?
อย่างไรก็ตาม ในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิลงสมัครหากไม่ได้ทำผิดกฎหมาย มีสิทธิจะตั้งพรรคการเมือง มีสิทธิสนับสนุนใครก็ตาม หากดำรงความเป็นธรรมและเป็นอิสระจากกันจริงๆ ดังนั้นประชาชนควรเริ่มมองแบบใหม่ อาจเริ่มมองคสช.ในฐานะผู้เล่นที่เป็น
ทางเลือกได้แล้ว ที่นี้มาดูกันว่าที่ผ่านมาตลอด 3 ปีกว่า คสช.ทำผลงานอะไรไว้บ้าง? แล้วผลงานนั้นเหมาะเป็นตัวเลือกหรือไม่?
เมื่อมองเช่นนี้ ก็ควรไล่ดูนโยบายที่คสช.ทำมา ตามนโยบายรื้อใหม่ ทำใหม่ ที่นายกฯเคยตั้งถามว่า เห็นด้วยกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาที่หมักหมมมาเป็นเวลานาน ด้วยการรื้อใหม่ ทำใหม่ หรือไม่? ดังนั้นจึงต้องทบทวนกันว่า รื้อใหม่ ทำใหม่ มันคืออะไร? คล้ายๆคิดใหม่ ทำใหม่ ของบางพรรคหรือเปล่า? แล้วที่ผ่านมารื้อใหม่ ทำใหม่ สร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า? อย่างกรณีสตาร์ทอัพ การที่ลูกชายใครใช้บ้านพักในค่ายทหารจัดตั้งบริษัท เป็นสำนักงาน ค่าเช่าก็ไม่ต้องเสีย ทำอะไรภายใต้อำนาจใครหรือเปล่า ก็ไม่รู้? แบบนี้เรียกว่ารื้อใหม่ทำใหม่หรือไม่? หรือโครงการประชารัฐที่ดูภายนอกเหมือนจะช่วยเหลือประชาชน แต่เอาเข้าจริง ทำไปสักระยะก็มีกระแสข่าวว่า สุดท้ายกลายเป็นเอื้อกลุ่มทุนใหญ่การค้า ใช่หรือไม่? วิธีน้ำเน่าแบบนี้คือรื้อใหม่ทำใหม่หรือ? หรือล่าสุดกรณีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ต้องซื้อผ่านร้านที่รัฐกำหนด เอาเข้าจริงมีผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ไม่กี่รายได้ประโยชน์ ใช่หรือไม่? วิธีเดิมๆ แค่เปลี่ยนชื่อแบบนี้เรียกรื้อใหม่ทำใหม่ ใช่หรือไม่? ลักษณะดูคุ้นๆ เหมือนช่วงปี 2543-2547 หรือไม่?
ขณะที่แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่รัฐบาลโฆษณาว่า จะให้ประเทศขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี ก้าวสู่ประเทศผู้มีรายได้สูง เพราะต่อให้มองแง่ดีว่า 20 ปีนี้ รัฐบาลตั้งใจปูพื้นฐาน ยกระดับประชาชนทั้งประเทศให้พัฒนารายได้ขึ้นจริง ก็ต้องถามว่า รัฐบาลเข้าใจคำว่าเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและนวัตกรรม แค่ไหน? เช่นแผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของประเทศ ที่ร่างขึ้นมาใช้เพียง 2 ปี ก็ต้องทบทวนใหม่หมดเพราะเทคโนโลยีเปลี่ยน สภาพแวดล้อมเปลี่ยน การทำธุรกิจเปลี่ยน ขณะที่แผนพัฒนาชาติ 20 ปี ด้วยค่าเฉลี่ยของผู้ร่างที่มีอายุไม่รู้ว่าจะอยู่ครบจนจบแผนหรือไม่? รัฐบาลกำลังฝากอนาคตไว้กับคนหลังเกษียณเพื่อให้คนวัยหนุ่มสาวใช้อย่างนั้นหรือ?
มาดูผลงานการเกษตรของรัฐบาลว่า ตลอด 3 ปีกว่า ได้ทำอะไรให้ชาวไทยได้ชื่นใจแล้วบ้าง? ผลงานโดดเด่น รื้อใหม่ ทำใหม่คงหนีไม่พ้นระดับราคาสินค้าเกษตร ด้วยการปรับภาษีนำเข้าข้าวสาลีในอัตรา 0% ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจเลี้ยงสัตว์รายใหญ่ไม่กี่เจ้าในประเทศได้รับประโยชน์จากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ถูกลงจากข้าวสาลีนำเข้าราคาถูก ซึ่งสามารถใช้แทนข้าวโพดและมันสำปะหลังได้ดี เช่นนี้เท่ากับช่วยถล่มราคาข้าวโพดและมันสำปะหลังในประเทศให้ตกต่ำลงโดยปริยาย ใช่หรือไม่? และยังส่งผลให้เกษตรกรต้องขายข้าวโพดและมันฯในราคาที่ถูกกดลง ผู้ที่ได้เปรียบคือใคร? ใช่ผู้รับซื้ออย่างเจ้าของธุรกิจเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่หรือไม่? ถ้าใช่ นี่หรือที่บอกเป็นผลงานเด่นในการช่วยเหลือเกษตรกร?
ความร่ำรวยของธุรกิจเลี้ยงสัตว์ที่แลกกับความยากจนมากขึ้นของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดและมันฯ นอกจากนี้ยังมีนโยบายอื่นที่สอดคล้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ อาทิ การเตรียมแก้กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชที่กำลังเป็นประเด็น สุดท้ายไม่รู้เป็นการช่วยเหลือการวิจัยเมล็ดพันธุ์ให้หลากหลาย หรือเป็นการปิดประตูการพัฒนาให้อยู่เฉพาะวงธุรกิจขนาดใหญ่ ใช่หรือไม่? เรื่องบังเอิญอีกอย่างคือ การเลือกเจาะจงเมล็ดพันธุ์ที่ว่า ล้วนเป็นกลุ่มวัตถุดิบตั้งต้นของอาหารสัตว์แทบทั้งสิ้น นี่คือผลงานที่ดีแล้วใช่หรือไม่?
หรือแม้กระทั่งนโยบายแก้ราคายางพาราที่มีปัญหาต่อเนื่องตลอดรัฐบาลชุดนี้ ย้อนไปครั้งหนึ่งรัฐบาลเคยประกาศจะแก้ปัญหาด้วยการให้หน่วยราชการรับซื้อและหาตลาดส่งออกเพิ่ม? แต่ถึงวันนี้อาจเป็นเพียงคำลวง? เป็นเพียงสไตล์ทำงานแบบราชการที่เอาไว้ส่งสคริปต์ให้ผู้ใหญ่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบขอผ่านไปที ใช่หรือไม่? เพราะถึงทุกวันนี้ แทบไม่มีหน่วยราชการใดรับซื้อยางฯอย่างที่กระทรวงบอกไว้เลย จริงหรือไม่? ถือเป็นอีกผลงานเด่นของกระทรวงพาณิชย์? ที่นอกจากประสบความล้มเหลว เรื่องแก้ปัญหาราคายาง ไม่สามารถหาตลาดเพิ่มได้แล้ว ยังล้มเหลวสูงสุดในการดุลผลประโยชน์ระหว่างเกษตรกรกับนายทุน ตั้งแต่เรื่องเมล็ดพันธุ์ เรื่องนำเข้าสินค้าเกษตร จนล่าสุดเรื่องเตรียม
นำเข้าหมูจากสหรัฐฯ ราคาสินค้าเกษตรก็ตกต่ำ ธุรกิจค้าขายต่างจังหวัดก็ฝืดเคือง รวยเฉพาะร้านสะดวกซื้อและห้างค้าปลีก สินค้าส่งออกถดถอยชะลอตัว เนื่องจากการใช้เครื่องมือการค้าจากต่างประเทศที่อ่อนด้อย แพ้ทางคู่ค้าต่างชาติทั้งหมด
นี่คือความสำเร็จของกระทรวงพาณิชย์ใช่หรือไม่? ซึ่งขอบอกว่ารัฐบาลไม่ว่ามาด้วยวิธีไหนก็ตาม? ตามประวัติศาสตร์ไทยการจะอยู่หรือไป มักมาจากฝีมือทีมเศรษฐกิจในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะความสำเร็จหรือล้มเหลวของกระทรวงพาณิชย์ทั้งสิ้น ถ้าคิดว่าเหมาะสมอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องปรับเปลี่ยนใครออก?
นี่ยังไม่นับรวมที่เตรียมออกกฎหมายเก็บภาษีการใช้น้ำ ที่ไม่รู้ใครได้ประโยชน์กันแน่? แต่ดูเหมือนเกษตรกรเป็นผู้เสียประโยชน์มากที่สุด หรือกฎหมายแรงงานต่างด้าวที่สร้างความวุ่นวายให้โรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะธุรกิจห้องเย็นและอาหารทะเล ที่ยังไม่กลับฟื้นคืน กฎหมายเหล่านี้ บางฉบับยังร่างไม่เสร็จหรือบางฉบับทำแล้ว ก็ต้องแก้กลับคืน แต่นั่นสะท้อนการทำงานในรูปแบบรัฐราชการ แบบนี้นายกฯคิดว่า ผู้ที่มารับโจทย์จากท่านไปทำต่อจนล้มเหลวขนาดนี้ ดีแล้วหรือ?
หากจะพูดถึงรัฐบาลชั่วคราวที่เป็นรัฐบาลกลาง บทบาทบริหารราชการแบบนี้ หากอ่อนด้อยบ้าง ก็ไม่มีใครว่าอะไรมากนัก เพราะภารกิจหลักของรัฐบาลแบบนี้คือ แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ สร้างความปรองดองให้เกิดในประเทศ และสร้างกติกาเพื่อเปิดทาง
ให้คนดีเข้าสู่กระบวนการทางการเมือง แต่หากจะบอกว่าผลงานแบบนี้คือผลงานของหนึ่งในผู้ที่จะมาแข่งขันทางการเมือง คงต้องกลับไปทบทวนใหม่
ทั้งหมดนี้ อย่างไรก็ตาม ยังคงให้กำลังใจนายกฯให้บริหารประเทศไปจนสุดทาง ตามที่ระบุไว้ในโรดแมป แต่อดเป็นห่วงที่นายกฯต้องพยุงคนรอบตัวให้อยู่รอดไปพร้อมกับนายกฯจนจบวาระด้วยไม่ได้จริงๆ...
“หากคนผู้หนึ่งไม่ยอมเปิดทางถอยแก่ผู้อื่น
เท่ากับไม่ทิ้งหนทางถอยแก่ตัวเอง”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง หงส์ผงาดฟ้า)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี