รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเผชิญหน้ากับปัญหา “ปากท้องชาวบ้าน” อันเป็นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ที่มือเศรษฐกิจของท่าน อย่าง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ทำได้แค่ “อัดฉีดเงินลงไป” อย่างไม่ใส่ใจแนวทาง “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ของ “ลุงตู่” เอาเสียเลย
ส่วนลุงตู่ท่านจะทำอะไรได้ ในเมื่อเศรษฐกิจไม่ใช่ “ความเชี่ยวชาญ” ของท่าน ท่านเป็นนักการทหารมาตลอดชีวิต เวลานี้ปัญหาเศรษฐกิจจึงรุมเร้าและฉุดรั้งคะแนนนิยมของท่านให้ต่ำลง ประชาชนที่เคยกกท่านราวกับ “ไข่ในหิน” ก่อนหน้านี้ เริ่มไม่ออกมาปกป้องเวลาที่ท่านถูกวิพากษ์วิจารณ์เหมือนแต่ก่อนแล้ว เหลือแต่ “กลุ่มทุน” กระมัง ที่ยังแข็งแกร่ง เป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ให้ท่านได้พิง
เรื่องใหญ่ตอนนี้มี 2 เรื่องคือ
• ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ
• ปัญหาแรงงาน ซึ่งมีทั้งขาดแคลน และได้รับผลกระทบจากการแก้ไขกฎหมายแรงงาน ซึ่งเป็นมาตรการที่ถูกต้อง แต่ขาดความรอบคอบในขั้นตอนปฏิบัติ จนผู้ประกอบการได้รับผลกระทบอย่างหนัก
โดยที่ “สวนยางพารา” เป็นที่รวมของทั้ง 2 ปัญหานี้ราคาก็ต่ำ แรงงานต่างด้าวก็เผ่นกลับ กระบวนการขอขึ้นทะเบียนใหม่ก็ยุ่งยาก ขาดการอำนวยความสะดวกจากรัฐ
ครั้นมาดูผลสำรวจความคิดเห็นเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี ก็พบว่า กระทรวงเกษตรฯ นำโด่งมาทันที ส่วนกระทรวงแรงงาน นายกฯ
ท่านจัดการไปแล้ว เป็น “ใบเบิกทาง” มาสู่ “การปรับ ครม.” ได้โดยชอบ พี่ๆ น้องๆ เงียบกริบ ปล่อยให้ท่านจัดการ จึงดูเหมือนปัญหาเรื่องแรงงานกับราคาพืชผลทางการเกษตรนี่แหละคือ “ราหู” อมรัฐบาลลุงตู่ ให้หมอง หมดราศี
เคราะห์ซ้ำกรรมชัด ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ไม่อยู่ ไปทำหน้าที่ผู้นำประเทศในการประชุมอาเซียน อยู่ทางนี้ เกษตรกรชาวสวนยางเคลื่อนไหวขอให้ปลดผู้ว่าการยาง และเร่งรัดให้แก้ปัญหาราคายางพารา กลับปรากฏว่า มีแกนนำบางคนถูก “เชิญตัว” เข้าค่ายทหาร จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
กระทั่ง 7 พ.ย.2560 พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต้องออกโรงเอง กล่าวถึงกรณีที่นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแถลงเรื่องแกนนำชาวสวนยางภาคใต้ ถูกเจ้าหน้าที่ทหารเชิญตัวไปค่ายทหาร เพื่อไม่ให้เดินทางเข้ามาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำใน กทม. ว่า รัฐบาลไม่เคยห้ามประชาชนแสดงความคิดเห็น หรือเสนอข้อเรียกร้องแต่อย่างใด และยังรับฟังเสียงประชาชนทุกอาชีพ ทุกพื้นที่ แต่เหตุใดจึงพยายามจะเดินขบวนเข้ามาใน กทม.
“การที่อ้างว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ได้ อยากให้เสนอมาว่าหากเป็นท่านเองจะทำอย่างไร จะได้ร่วมกันปรึกษาหารือด้วยเหตุผล โดยไม่นำความเดือดร้อนของชาวสวนยางมาสร้างประเด็นทางการเมือง และแม้จะมีความเห็นออกมาแล้วบ้าง เช่น ควรทำให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นเสือตัวที่ 6 ก็ต้องย้อนไปดูด้วยว่าประเทศมีงบประมาณเพียงพอหรือไม่ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่รัฐต้องดูแล หรือหากทำแล้วรัฐจะกลายเป็นคู่แข่งของเอกชน จนถูกมองว่าไปทำลายกลไกตลาดหรือไม่” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
พล.ท.สรรเสริญกล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ย้ำว่ารัฐบาลและ คสช. ยินดีรับฟังข้อเสนอของทั้งพรรคการเมืองและนักกฎหมาย เพราะโลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป จึงอาจทำให้ข้อมูลและวิธีคิดแตกต่างกัน โดยอยากให้นำเสนอข้อเรียกร้องด้วยวิธีที่เหมาะสม ไม่ควรเดินขบวนหรือชุมนุม แต่การแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน ส่วนการเชิญตัวแกนนำไปค่ายทหารนั้น ยืนยันว่าเป็นการพูดคุยทำความเข้าใจกัน ไม่ใช่การข่มขู่หรือทำร้าย
ฟังคำแถลงของท่านโฆษกไก่อูแล้ว “คาใจ” มีประเด็นอยากจะแลกเปลี่ยนกับท่านดังต่อไปนี้
1) ท่านจะเสียเวลา “โต้วาที” ด้วยคำบางคำ เช่น อุ้ม นำตัว เชิญตัว ฯลฯ จำพวกนี้ทำไมครับ ในเมื่อบรรยากาศปกติ ไม่มีใครต้องถูก “เชิญตัว” เข้าไปในค่ายทหารกันมิใช่หรือครับ? ท่านแบ๊ว ท่านไร้เดียงสา ถึงขั้นนึกไม่ออกเลยหรือว่า “ค่ายทหาร” มันเป็น “สัญญาณ” ของอะไร?
2) เกษตรกรชาวสวนยางเขาเดือดร้อนจริงไหม? เรามาเริ่มที่ประเด็นนี้ก่อน หรือท่านไก่อูคิดว่าเป็น “การเมือง” ไม่ใช่ “ความเดือดร้อน” จึงตีความการเคลื่อนไหวของแกนนำเป็น ปัญหาทางการเมือง” ชนิดหลุดคำว่า “เดินขบวน” ออกมานั่นเชียว
3) ในยุคนี้ “เดินขบวน” กันได้ง่ายๆ หรือครับท่านครับ
อยู่บ้านยังถูกเชิญตัวเข้าค่ายทหารเลย ออกมาเดินขบวนจะเจออะไรกันล่ะครับ ที่ผมบอกว่าไม่ง่ายเพราะอะไร เพราะมีทั้งประกาศ คสช. ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน และอื่นๆ ยังไม่รวมพระราชบัญญัติว่าด้วยการชุมนุมในที่สาธารณะอีก มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่ใครจะออกมาเดินขบวน
4) แต่อาการอยากพบรัฐมนตรี อยากยื่นหนังสือ อยากบอกว่าเดือดร้อนปานใด อยากเข้ากรุงเทพฯ ทำไมนายทหารระดับ “พลโท” ไม่มองเป็น “สัญญาณขอความช่วยเหลือ” บ้างล่ะครับ เหล่านั้นคือราษฎรที่เดือดร้อน ทุกข์ ไม่ใช่หรือครับ หัวจิตหัวใจที่จะสัมผัสความทุกข์ของประชาชนหายไปไหนกันหมดครับ เหลือแต่จิตใจกระด้างๆ ที่มองว่านี่เป็นความอยากหรือความพยายามจะเดินขบวน
5) ผมก็เห็นด้วยกับท่านไก่อูนะ ว่าการรับฟังปัญหา การสะท้อนปัญหา ไม่ต้องมากรุงเทพฯ ก็ได้ เพียงแต่ว่า ในต่างจังหวัด มีกลไกการรับเรื่องราวร้องทุกข์ที่ “มีประสิทธิภาพและจริงใจ” เพียงใด ถ้าหากอยากพูดคุย อยากรับเรื่องร้องเรียน โดยไม่มีบรรยากาศข่มขู่ กดดัน ทำให้กลัว ทำไมไม่คุยกันที่ศาลากลางจังหวัดล่ะครับ หรือนัดคุยกันที่ตลาดกลางซื้อขายยางพารา หรือศาลาวัดที่ไหนก็ได้สักแห่งหนึ่ง ท่านคิดว่าบรรยากาศจะเปลี่ยนไปจากการใช้ “ค่ายทหาร” เป็นที่พูดคุยไหมครับ ก็ในเมื่อท่านใช้ “ค่ายทหาร” เป็น “สัญลักษณ์แห่งอำนาจ” ของรัฐบาลทหารของพวกท่านมาโดยตลอดไง เมื่อมีคนถูกเชิญเข้าไปในค่ายทหาร คิดว่าจะให้สังคมเขา “ตีความ” ว่าอะไรล่ะครับ ตรงนั้นแลหะ ที่เป็น “ไม้ขีดก้านเดียว” ทำเรื่องมันลุกลาม
6) ท่านไก่อูต้องเข้าใจนะครับว่า คนเป็น สส. กับประชาชนเขามีความผูกพันกัน ไม่ได้เป็นอย่างที่ฝ่ายท่านชอบตีตราว่า “นักการเมืองเลว-สร้างปัญหา” ไปเสียหมดทุกคนหรอก ที่เขารู้จัก “รับฟังปัญหาของประชาชน” ก็มี ซึ่งถ้าไม่ฟังประชาชนแล้วดี ฟังประชาชนแล้วเป็นปากเป็นเสียงให้ กลายเป็นคนเลวไปเสียละก็ ต่อไปประชาชนจะพึ่งพาใคร ทราบใช่ไหมครับว่า ถ้าเป็นรัฐบาลปกติ เรื่องปัญหายางพาราจะมีกลไกของสภา ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกระทู้ถามสด การขอหารือ การเปิดอภิปราย ฯลฯ มันทำได้ มันมีกระบวนการพวกนั้นเป็นช่องให้ “เสียงแห่งความทุกข์ของประชาชน” มันดัง มันมีเวทีรับฟัง และนำไปสู่การแก้ไขปัญหา แต่ในรัฐบาลปัจจุบันไม่มี ท่านอาจจะเชื่อในศูนย์ดำรงธรรมของท่าน แต่ชาวบ้านเขาไม่เชื่อ เพราะเขาไปร้องหลายเรื่องแล้ว ก็พบกับประสบการณ์ที่เลวร้าย หรือไม่ก็การรอคอยที่ไม่สิ้นสุด คือคอยความคืบหน้า แล้วพบว่ามันไม่เคยมีเลย แล้วบัดนี้ “ผู้แทนราษฎร” ก็ไม่มี ที่ยังอาศัยกันได้อยู่ ก็แค่ขอให้ช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้ พอเขาออกปากก็ถูกด่ากราดกลับไป ใช่หรือเปล่า?
7) วันที่ 28 มิถุนายน 2560 นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฯลฯ เป็นตัวแทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้หาแนวทางแก้ไขปัญหาราคายางพารา โดยมีนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรับหนังสือ
บรรยากาศในวันดังกล่าวดีมากเลยครับ รัฐมนตรีออมสินต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี เปิดห้อง คุยกัน รับฟังข้อเสนอ ฝ่ายเสนอก็ไปอย่างเป็นมิตร ไปด้วยความห่วงใยประชาชน ไปพร้อมข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม คือ
1.ขอให้รัฐบาลบริหารตลาดยางพาราโดยให้ประกาศว่าจะไม่ขายยางพาราในสต๊อก และจะนำมาใช้ในประเทศไทยเท่านั้น
2.ให้รัฐบาลเร่งรัดให้หน่วยงานของรัฐ นำยาพาราไปแปรรูปเพื่อนำไปใช้ในประเทศ เช่น ทำถนน เนื่องจากที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นนโบาย แต่ไม่มีหน่วยงานใดหรือจังหวัดใดนำไปปฏิบัติติ ยกเว้น อบต. สงขลา และอบต.ตรัง จึงอยากให้รัฐบาลนำเอาเกณฑ์การใช้ยางพาราไปประเมินการปฏิบัติงานของผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีการปลูกยางพารา และให้เป็นเกณฑ์การประเมินผลงานของผู้บริหารที่สามารถใช้ยางพาราได้ เช่น กรมทางหลวง กรมชลประทาน กรมทางหลวงชนบท และให้นำตัวเลขการใช้ยางพาราในหน่วยงานมารายงานต่อรัฐบาลทุก 4 เดือน
3.เรียกร้องให้การยางแห่งประเทศไทย หรือ กยท. จัดตั้งบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชน จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราเพื่อป้องกันไม่ให้มีการตั้งราคาซื้อขายโดยแสวงหาผลกำไรเกินควรจากผู้ซื้อ
4.ขอให้ประสานความร่วมมือกับกลุ่มประเทศที่ผลิตยาง คือ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เพื่อกำหนดแผนการผลิตและการจำหน่ายร่วมกันอย่างชัดเจน
ถึงวันนี้ ก็เพียงแต่รับข้อร้องเรียนเพิ่มเติม เมื่อเขาทำท่าจะเข้ากรุงเทพฯ มาคุย ก็ส่งคนไปคุยกับเขาในพื้นที่ เหมือนที่เคยมีคุณอำนวย ปะติเส ลงไปคุย บรรยากาศดีๆ ก็จะเกิดขึ้น จริงไหมครับ จากนั้นก็นำข้อเสนอเก่าและใหม่มาดู จะพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่ได้ “ตอบสนอง” ไม่ได้ “ลงมือทำ
8) ที่ยังไม่ได้ทำแน่ๆ คือ การเพิ่มการใช้ยางพาราในประเทศ ผ่านกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานทั้งหลาย โดยเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2560 ท่านไก่อูเองนี่แหละ ที่แถลงว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากวันนี้ถึงสิ้นเดือนกันยายน 2560 มีหน่วยงานของรัฐ 9 หน่วย ยื่นความจำนงที่จะใช้ยางพาราในภารกิจของตนเองอย่างแน่นอน คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลาโหม คมนาคม ศึกษาธิการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข มหาดไทย การท่องเที่ยวและกีฬา และ กรุงเทพมหานคร แบ่งเป็นปริมาณน้ำยางข้น 22,321.54 ตัน และยางแห้ง 2,952.66 ตัน คิดเป็นงบประมาณทั้งสิ้น 16,925,626,588.57 บาท
“นายกฯ เร่งรัดให้ทั้ง 9 หน่วยงาน ดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นการรับซื้อยางใช้ภายในประเทศจากพี่น้องเกษตรกรให้ได้ก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2560 โดยเฉพาะหน่วยงานที่ได้ตั้งงบปกติไว้แล้ว และหน่วยงานที่จะใช้งบเหลือจ่าย ส่วนบางหน่วยงานที่จะขอเบิกจากงบกลางให้ประสานไปยังสำนักงบประมาณ เพื่อให้มั่นใจว่า จะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2561”
พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า ทั้งนี้ รายการผลิตภัณฑ์ยางที่แต่ละหน่วยงานจะนำไปใช้มีทั้งสิ้น 23 รายการ เช่น ถุงฝายยาง แผ่นรองคอสะพาน ท่อดูดน้ำและส่งน้ำ แผ่นยางกันซึม ยางคั่นรอยต่อพื้นคอนกรีต แผ่นยางปูคอกปศุสัตว์ ยางปูสนามฟุตซอล รองเท้าบู้ทยาง ถุงมือยาง เป็นต้น โดยขณะนี้กรมชลประทานได้นำร่องรับมอบยางจากการยางแห่งประเทศไทยแล้ว จำนวน 100 ตัน เพื่อใช้เป็นวัสดุซ่อมแซมถนนลาดยางที่อยู่ในความดูแลราว 3,000 กม.
บัดนี้ ท่านไก่อูลองแถลงอีกทีดีไหม ว่าที่พูดไว้วันนั้น มีอะไรได้ทำจริงบ้าง?!?
9) ส่วนที่ท่านบอกว่า “หากทำแล้วรัฐจะกลายเป็นคู่แข่งของเอกชน จนถูกมองว่าไปทำลายกลไกตลาดหรือไม่” นี่ก็ต้องเรียนท่านด้วยความเคารพว่า เขาก็ไม่หวังให้ทำโง่ๆ อย่างที่ท่านว่ามาหรอกนะครับ แต่มันมีช่องทางที่จะทำได้ โดยไม่เป็นไปอย่างที่ท่านอ้างเลย เช่น รัฐมีทีโอที ทำธุรกิจโทรศัพท์แข่งกับเอกชน มีธนาคารกรุงไทยกับออมสิน แข่งกับธนาคารอื่นๆ มี ปตท. แข่งกับบางจากและอื่นๆ เช่นกัน มีตลาด อ.ต.ก. ขายของแข่งกับตลาดชาวบ้านด้วย ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ บัดนี้ ไย “กระบวนการคิด” ของท่าน จึงเป็นไปได้ถึงเพียงนี้
ถามว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามไหม ที่จะแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ พยายามครับ
ถามว่า ท่านอยากให้เกิดปัญหาแบบนี้ไหม ก็คงไม่หรอกนะครับ
ทางที่ดีคือ อย่ามองกันเป็นศัตรู โดยเฉพาะประชาชนที่กำลังเดือดร้อน และนักการเมืองที่เป็น “คนกลาง” ประสาน เพราะท่านคือทหารที่อาจะคุ้นเคยต่อการปรึกษาหารือทุกเรื่องเฉพาะ
“ในค่ายทหาร” แต่นักการเมืองกับชาวบ้านเขาคุยกันในที่ปกติทั่วไป
โฆษกรัฐบาลควร “ลดราวาศอก” หาหนทางทำให้ข้อเรียกร้องอันเกิดจากความทุกข์ยากของราษฎรไปถึงประมุขฝ่ายบริหาร และประสานขอความรู้แนวทางเพิ่มเติมจากคนที่เขามีประสบการณ์บ้างก็ได้
ศักดิ์ศรีมันแก้ปัญหาให้ชาวบ้านเขาไม่ได้อย่าไปติดยึดอะไรกับมันให้มากนัก
เรียนรู้ที่จะรักราษฎร และทุกข์ร้อนไปกับเขาบ้างก็ดี!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี