ผู้ที่มีความละอาย และไม่ด้านหนา จะไม่คิดทำบาป และไม่กล้าทำความผิดใดๆ แต่สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมตรงกันข้าม จะทำความผิดครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ยังคงอ้างว่า ตนเองขาวสะอาด บริสุทธิ์
กรณี นายกฤษฎา เรืองอารีย์รัชต์ อดีตผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และพรรคพวก นำเงินขององค์การฯ จำนวน 193 ล้านบาท ไปซื้อตราสารหนี้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือเรียกภาษาชาวบ้านแบบเข้าใจง่ายๆ ว่าหุ้นกู้ CPF จนกลายเป็นประเด็นที่สาธารณชนผู้สนใจเรื่องนี้ ต่างพากันตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการตัดสินใจกระทำการดังกล่าว
แม้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะได้ยืนยันมาแล้วว่าการกระทำดังกล่าว โดยผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นเรื่องที่ผิดหลักเกณฑ์การใช้เงิน ตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนดขององค์การฯ แต่ถึงกระนั้นก็หาได้มีผู้บริหารรายใดของสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดที่ได้จงใจกระทำลงไปไม่ แถมยังพยายามบิดเบือนว่าเป็นการตัดสินใจกระทำการที่ถูกต้อง และยังช่วยทำให้องค์การฯ ได้ผลประโยชน์ตอบแทน
ล่าสุดนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ส่งหนังสือถึงผู้อำนวยการ ส.ส.ท. โดยหนังสือลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560
สาระของหนังสือจากสำนักงานกฤษฎีกาสรุปได้ว่า การที่ไทยพีบีเอสนำเงินขององค์การฯ ไปซื้อหุ้นกู้ของบริษัท ซีพีเอฟ นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (สำหรับคุณที่สนใจเรื่องนี้ สามารถอ่านรายละเอียดเอกสารของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในเรื่องนี้ได้จากหนังสือพิมพ์รายวันทั่วไป)
วิญญูชนที่ติดตามเรื่องนี้ ต่างให้ความเห็นตรงกันว่า ผู้บริหาร ส.ส.ท. จำเป็นต้องสำเหนียกตลอดเวลาว่า องค์การฯ แห่งนี้มีพันธกิจ และภารกิจหลักอะไร แล้วการที่นำเงินขององค์การฯ ไปซื้อหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนถือว่าได้กระทำการตามอำนาจหน้าที่ตามพันธกิจหลักหรือไม่ และยังมีคำถามตามมาด้วยว่า การนำเงินจำนวนดังกล่าวไปซื้อหุ้นกู้ของบริษัทเอกชน ผ่านการอนุมัติเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายขององค์การฯ หรือไม่ หากไม่ผ่านการเห็นชอบ ก็หมายความว่าอดีตผู้อำนวยการองค์การฯ ได้จงใจฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการนโยบาย ใช่หรือไม่ แต่ถ้าหากคณะกรรมการนโยบาย รับทราบและอนุมัติเรื่องนี้ ก็หมายความว่าคณะกรรมการนโยบายต้องร่วมรับผิดชอบกับความผิดที่ได้เกิดขึ้น ใช่หรือไม่
แต่มีคำถามที่น่าสนใจยิ่งคือ ในเมื่อ นางวิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการองค์การฯ ซึ่งในอดีตเคยรับตำแหน่งรองผู้อำนวยการองค์การฯ ได้ร่วมลงนามในการซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวด้วย แล้วเหตุใด นางวิลาสินีจึงยังคงได้รับเลือกให้เข้าไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การฯ ได้ ทั้งๆ ที่ในเมื่ออดีตผู้อำนวยการองค์การฯ ได้ประกาศลาออก หลังจากสาธารณชนได้รับทราบถึงการที่องค์การฯ ตัดสินใจซื้อหุ้นกู้ตัวนี้
หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือถึงผู้อำนวยการ ส.ส.ท. แล้ว คณะกรรมการนโยบายของ ส.ส.ท. ได้ออกคำแถลงการเป็นเอกสารลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 ว่า
ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) ได้พิจารณาข้อหารือ...............คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นสรุปว่า มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 มิได้บัญญัติให้นำเงินรายได้ไปหาผลประโยชน์ โดยนำไปลงทุนอื่นๆ ดังนั้นการออกระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการงบประมาณ พ.ศ. 2558 ข้อ 9 ไม่สอดคล้องกับมาตรา 9 แห่ง พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551
คณะกรรมการนโยบายเห็นว่าความเห็นเรื่องข้อกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นความเห็นเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครอง อย่างไรก็ตาม ระเบียบนี้ออกมาตั้งแต่ พ.ศ. 2551 และมีการปรับปรุงแก้ไขเมื่อ พ.ศ. 2558 ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 คณะกรรมการนโยบายจึงแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทบทวนและปรับปรุงระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการงบประมาณ พ.ศ. 2558 ข้อ 9 โดยนำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกามาประกอบการพิจารณา ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยเป็นสำคัญ
วิญญูชนวิพากษ์คำแถลงการณ์ของคณะกรรมการนโยบายบริหารฉบับนี้ว่า ตะแบง และไม่ยอมรับความผิดพลาดที่คนในองค์การฯ ได้จงใจก่อให้เกิดขึ้น
นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่สาธารณชนได้พบเห็นว่าคณะกรรมการนโยบายได้ออกแถลงการณ์เช่นนี้ จึงทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงเรื่องจริยธรรมในการทำหน้าที่ และยังได้ถามหาความรับผิดชอบของคณะกรรมการนโยบาย พร้อมกับตั้งคำถามด้วยว่า คณะกรรมการนโยบายไม่มีความรู้สึกละอายแม้แต่น้อยบ้างเลยหรือ
หรือคณะกรรมการนโยบายจะอ้างว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องการนำเงินขององค์การฯ ไปซื้อหุ้นกู้ หรือคณะกรรมการนโยบายว่าจะอ้างว่า ความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นแค่เพียงความเห็นของบุคคลจากองค์กรหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่คำตัดสินของศาลยุติธรรม ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกัน ก็มีคำถามจากวิญญู และปัญญาชน ถามไปยังนางวิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ว่า ไม่มีความรู้สึกละอายบ้างหรือกับการที่ได้รับตำแหน่งต่อจากนายกฤษฎา เรืองอารีย์รัชต์ ทั้งๆ ที่ นายกฤษฎา ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังเกิดกรณีอื้อฉาวเรื่องการนำเงินขององค์การฯ ไปซื้อหุ้นกู้ โดยที่นางวิลาสินี ได้ร่วมลงนามในการซื้อหุ้นกู้ด้วย ในฐานะรองผู้อำนวยการ
เรื่องราวทั้งหมดทั้งปวงในกรณีนี้ ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับจริยธรรมส่วนบุคคลเป็นสำคัญ และการกระทำของปัจเจกก็เป็นเครื่องแสดงออกถึงระดับของจริยธรรมของแต่ละบุคคล
แม้คณะกรรมการนโยบายของ ส.ส.ท. และผู้อำนวยการ ส.ส.ท. จะยังไม่ยอมรับว่าบุคคลบางคน และบางกลุ่มในองค์การฯ ของตน ได้จงใจกระทำความผิดลงไป แล้วพยายามจะยกข้ออ้าง และหาเหตุผลใดๆ มาเป็นเครื่องแก้ตัวก็ตาม แต่วิญญูชนได้ประจักษ์แล้วว่า ได้มีการกระทำความผิดโดยชัดแจ้งในองค์การฯ แห่งนี้
วิญญูชนบนแผ่นดินไทยฝากถามกรรมการนโยบาย และผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ว่า ตอบได้หรือไม่ว่าภารกิจ และพันธกิจหลักของ ส.ส.ท. คืออะไร วัตถุประสงค์ในการก่อตั้งองค์การฯ แห่งนี้คืออะไร
อย่างไรก็ตามมีคำถามที่น่าสนใจมากคือ ทุกวันนี้ ส.ส.ท. ทำคุณประโยชน์อันใดที่เป็นรูปธรรมกับสังคมไทยบ้าง แล้วถ้าหากสังคมไทยนำเงิน 2 พันล้านบาทต่อปีไปใช้เพื่อทำคุณประโยชน์อื่นๆ อาทิ ก่อสร้างโรงพยาบาลเพื่อรักษาเด็ก ก่อสร้างโรงพยาบาลเพื่อดูแลคนแก่และผู้สูงอายุ หรือใช้ก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นต่อสาธารณชน จะดีกว่าการอนุมัติเงินจำนวนดังกล่าวให้กับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสทุกๆ ปี หรือไม่
คำตอบจากคำถามนี้ อาจทำให้คนบางคนที่ชอบอ้างว่าตนเองสูงส่ง และขาวสะอาดใน ส.ส.ท. เกิดอาการไม่พอใจ เพราะเป็นคำถามที่สามารถให้คำตอบซึ่งจะกระชากหน้ากากจอมปลอมของคนบางคนใน ส.ส.ท. ได้อย่างโจ่งแจ้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี