การปฏิวัติสังคมระดับเปลี่ยนรูปโฉมของประเทศ (Revolution) ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลกเป็นระยะๆ ที่ใหญ่หลวง ก็มักจะเป็นการปฏิวัติเพื่อล้มเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่โลกได้รับรู้ก็มีที่ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา (ปลดแอกไม่ขึ้นกับกษัตริย์อังกฤษ) รัสเซีย ตุรกี และจีน เป็นต้น
โดยการปฏิวัติที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ดังกล่าว มักมาจาก 3-4 วิธีการด้วยกัน คือ
1. ประชาชนลุกฮือ แล้วขับไล่ผู้ปกครองเอง
2. กลุ่มพวกหัวก้าวหน้า ขับไล่กลุ่มผู้ปกครองรุ่นเก่า แล้วขึ้นครองอำนาจแทน
3. กลุ่มผู้นำดั้งเดิมปฏิวัติตนเองและปฏิวัติประเทศไปในตัวด้วย
4. กลุ่มอำนาจเก่า เจรจาต่อรองกับกลุ่มหัวก้าวหน้า แล้วร่วมกันปฏิวัติสังคม
แต่สถานการณ์โลกในระยะหลังๆ มักเป็นการปฏิวัติภาคประชาชน โค่นล้มผู้กุมอำนาจแบบเผด็จการ โดยเฉพาะในประเทศเกิดใหม่ที่หลุดพ้นจากลัทธิอาณานิคมตะวันตก
อย่างไรก็ตาม มีหลายประเทศที่การเมืองการปกครองยังคงเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ หรือนัยหนึ่งอำนาจกษัตริย์ พระราชา ยังมีความลึกซึ้ง กว้างขวาง เช่น กรณีราชอาณาจักรโมร็อกโก และราชอาณาจักรจอร์แดน หรือคงความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างสมบูรณ์แบบ เช่น ในประเทศราชอาณาจักรรอบๆ อ่าวเปอร์เซีย ไปจนถึงบรูไน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ล่าสุด กษัตริย์ซาอุดีอาระเบียองค์ใหม่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้สร้างความแปลกใจ และดึงดูดความสนใจโลกอาหรับ โลกมุสลิม และประชาคมโลกทั่วไป โดยเริ่มการปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนรูปโฉมสังคมการเมืองซาอุดีอาระเบีย จัดได้ว่าเป็นการปฏิวัติสังคมแบบจากข้างบนลงสู่ข้างล่าง (Top down)ซึ่งหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่คือ มกุฎราชกุมาร ผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม
เป้าหมายการปฏิวัติ ปฏิรูปประเทศครั้งนี้คือ เสริมสร้างให้ซาอุดีอาระเบียเป็นสังคมที่ทันสมัย (Modern) หรือสร้างความทันสมัยให้แก่ซาอุดีอาระเบีย (Modernization) ควบคู่กับการประกาศจุดยืน เป็นประเทศที่เดินตามแนวทางสายกลาง (Moderate) ในความเชื่อถือและปฏิบัติในฐานะประเทศมุสลิม นั่นคือ การปฏิเสธความคิด ความเชื่อถือและการปฏิวัติแบบไม่โอนอ่อนผ่อนปรน แต่แข็งกระด้างยึดมั่น ถือมั่นความคิดของตนเท่านั้น ไปจนถึงการใช้ความรุนแรงโดยการอ้างศาสนา เพื่อให้ผู้อื่นคล้อยตาม หรือยอมสยบ ซึ่งการเดินแนวทางสายกลางของผู้นำซาอุดีอาระเบียนี้มีความสำคัญยิ่งต่อโลกอาหรับ และโลกมุสลิม เพราะซาอุดีอาระเบียเป็นต้นกำเนิดแห่งศาสนาอิสลาม เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม และยังเป็นศูนย์กลางศาสนาอิสลาม แล้วยังเป็นผู้นำศาสนาอิสลามนิกายซุนนี่อีกด้วย ฉะนั้นการประกาศเส้นทางสายกลาง จึงเป็นการไม่ยอมรับและต่อต้านความสุดโต่งใดๆ ทั้งสิ้น และเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ และเป็นผู้นำของซาอุดีอาระเบีย
สาเหตุที่ก่อให้เกิดการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนรูปโฉมซาอุดีอาระเบียแบบปฏิวัติสังคมประเทศก็มีหลายประการ เช่น
- การแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับอิหร่านในการเป็นผู้นำในตะวันออกกลางและในโลกมุสลิม โดยซาอุดีอาระเบียเป็นผู้นำนิกายซุนนี่ ขณะที่อิหร่านเป็นผู้นำนิกายชีอะห์ ซึ่งทั้ง 2 นิกาย ไม่ลงรอย ขัดแย้งกันมาเป็นเวลาช้านาน โดยเฉพาะเรื่องการรับสิทธิ์การเป็นผู้สืบเนื่องจากนบีโมฮัมหมัด
- การมีมุมมองและความเชื่อว่า ฝ่ายอิหร่านมุ่งบ่อนทำลายด้วยการสนับสนุนขบวนการก่อการร้าย หรือพวกใช้ความรุนแรง หรือการก่อการสู้รบระหว่างต้นแบบตัวแทน (Proxy war) เช่น ในกรณีที่ซีเรีย หรือเยเมน
- การตกต่ำลงของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ มีผลกระทบต่อรายได้ของประเทศ และฉะนั้นจำต้องปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ และการบริหารจัดการ
- การก่อการร้าย ซึ่งมุ่งมั่นที่จะทำลายล้างระบอบกษัตริย์ หรือรูปแบบการเมืองการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
- การเรียกร้องเพิ่มขึ้นในเรื่องสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะของสตรีเพศ เพื่อให้ทัดเทียมกับเพศชาย
- การนึกคิด วิสัยทัศน์ ของผู้นำรุ่นใหม่ โดยเฉพาะมกุฎราชกุมารที่ตระหนักในการล้าหลังของประเทศ และในความท้าทายต่างๆ ที่ประดังเข้ามาสู่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจะปล่อยให้ซาอุดีอาระเบียคงอยู่แบบเดิมต่อไปมิได้
จากเหตุผลต่างๆ ดังกล่าว ผู้คนทั้งภายในและภายนอกซาอุดีอาระเบียจึงเริ่มเห็นการดำเนินการปรับเปลี่ยนแบบปฏิวัติสังคม เช่น
- การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างใหญ่หลวง โดยการตั้งข้อหา และจับกุมเชื้อพระวงศ์ รวมทั้งสมาชิกของคณะรัฐบาลทั้งอดีตและปัจจุบัน
- การอนุญาตให้สตรีเพศขับรถ ไปออกกำลังกายในสนามกีฬา หรือเข้าร่วมฟัง ชมการแสดงต่างๆ และคงจะเปิดสิทธิเสรีภาพยิ่งขึ้นเป็นลำดับ เช่น การเดินทาง การทำมาหากินที่จะตัดสินใจได้เอง โดยไม่ต้องขออนุญาตจากครอบครัว และการนำสตรีเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยเฉพาะวิชาชีพต่างๆ
- การปรับคณะรัฐมนตรี โดยล้มเลิกระบบการ“ผูกปิ่นโต” ที่ให้สายตระกูลหลักๆแต่ละสายยึดตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวง ทบวง กรม อย่างต่อเนื่อง ผูกขาด ที่ทำเป็นประจำจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
- การประกาศนโยบาย “สายกลาง” และการขยายสิทธิเสรีภาพสตรี มีนัยว่า ฝ่ายกษัตริย์สามารถลดอิทธิพลและความเป็นประกาศิตของฝ่ายเคร่งศาสนา หรือฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะตระกูลวะฮาบ (Wahhab) ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งประเทศกับตระกูลสะอูด (Saud) และมีอำนาจเบ็ดเสร็จในเรื่องการศาสนามาโดยตลอด ซึ่งบัดนี้ก็ดูผ่อนเบา อ่อนแรงลงไป
- การปฏิเสธไม่เอาด้วยกับแนวคิดแบบสุดโต่งและไม่เอาด้วยกับขบวนการหัวรุนแรงทั้งหลาย ซึ่งสะท้อนการตัดสินใจเด็ดขาดและการมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำในเชิงสร้างสรรค์
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า การดำเนินการของกษัตริย์องค์ใหม่และราชวงศ์นี้ แท้จริงแล้ว เพียงอ้างการปฏิรูปสังคมโดยมีเป้าหมายเพื่อกระชับอำนาจของตนเท่านั้น (Consolidation of power) อีกทั้งแม้จะสามารถกันญาติพี่น้องออกไปจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างๆ ได้ แต่ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งคือ ที่ประชุมระหว่างกษัตริย์กับผู้นำเผ่า (Tribal Chiefs) ต่างๆ ที่ยังไม่มีข่าวคราวออกมาว่า ได้มีการพบปะตกลงกันอย่างไรบ้าง อาทิ ผู้นำเผ่าต่างๆ จะเห็นด้วยกับ Modernization of Saudi Arabia และ Moderate Islam มากน้อยแค่ไหน
ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นเช่นไร ในที่สุดเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจในการปฏิวัติสังคมและขีดความสามารถในการนำพา ซึ่งจะโยงกับการตอบรับและการสนับสนุนของประชาชนพลเมือง แต่อย่างน้อยการปฏิวัติสังคมแบบ Top down ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และผลกระทบก็จะกว้างไปไกลกว่าขอบเขตแดนของซาอุดีอาระเบีย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี