ปัญหาเฉพาะหน้าของเศรษฐกิจไทยเวลานี้ คือ รายได้ของเกษตรกร ที่ผูกกับราคาสินค้าเกษตรหลายๆ ตัวตกต่ำลง เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ฯลฯ
ในขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคของประเทศ ไม่ว่าจะการติดตามของหน่วยงานใด เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ ธนาคารโลก หรือแม้แต่หน่วยงานภาคเอกชน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจต่างๆ ล้วนยืนยันว่า เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักๆ กลับมาติดเครื่องได้ต่อเนื่อง ทั้งการส่งออก การบริโภคภายในประเทศ การลงทุนของภาครัฐ และการลงทุนของเอกชน
ยกตัวอย่าง ศูนย์เศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า การส่งออกในไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัวสูงสุดในรอบ 19 ไตรมาส ที่ 8.1% YOY (เปรียบเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) จากการขยายตัวในทุกหมวดสินค้า และเติบโตได้ดีในเกือบทุกตลาดส่งออก
การบริโภคภาคเอกชนเติบโตอย่างช้าๆ โดยพึ่งพาการใช้จ่ายผู้มีรายได้สูง โดยการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ 3.1%YOY เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน การซื้อรถยนต์ที่เติบโตสูงต่อเนื่องอยู่ที่ 11.6% YOY ซึ่งสะท้อนถึงการใช้จ่ายของผู้มีรายได้สูง ขณะที่การบริโภคสินค้าไม่คงทน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม กลับมาขยายตัวได้สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย แต่การบริโภคสินค้ากึ่งคงทน เช่น เสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่ม ชะลอลง
ที่น่าสนใจ คือ การส่งออกฟื้นได้ปลุกลงทุนเอกชน โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 2.9% YOY จากการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยายตัวได้ 4.3% YOY เป็นหลัก ซึ่งเป็นการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับการส่งออกสินค้าที่เติบโต
อีไอซีปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 เติบโต 3.8% (จากเดิมที่ 3.6%)
คาดว่า เศรษฐกิจคู่ค้าหลักทั้ง สหรัฐฯ ยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน ที่มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ตลอดจนปีหน้า จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นด้านการค้า การลงทุน การบริโภค และส่งผลต่อเนื่องถึงความต้องการสินค้าส่งออกจากไทยให้เติบโตได้ต่อ
การบริโภคในประเทศกลับมาฟื้นตัว หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงอุทกภัย รวมถึงกิจกรรมการบริโภคต่างๆ ก็กลับมาดำเนินการได้หลังพ้นช่วงไว้อาลัย นอกจากนี้ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ ทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านช่องทางบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการช็อปช่วยชาติในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อของภาคครัวเรือนในประเทศยังค่อนข้างอ่อนแอ ทั้งจากราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในระดับต่ำและจากตลาดแรงงานที่ซบเซา
1. สถานการณ์ที่กระเตื้องขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะลิงโลดใจ
แต่เป็นเครื่องตอกย้ำว่า จำเป็นที่จะต้องเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปตลอดกาล
ช่วงก่อนปี 2540 GDP ประเทศไทยเคยเติบโตเฉลี่ยประมาณ 9% ต่อปี
ช่วงปี 2543-2556 โตเฉลี่ยประมาณ 4% ต่อปี
แต่ในช่วงหลัง โตได้ต่ำกว่า 4%
สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย
ยิ่งเมื่อเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ จะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้ลำบากมากขึ้น
2. ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่แก้ง่ายๆ ด้วยการเลือกตั้ง หรือไพล่ไปโทษ คสช. เหมือนอย่างที่นักการเมืองบางจำพวกพยายามจะปลุกกระแสอย่างหน้ามืดตามัวในเวลานี้
อันที่จริง รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั่นเอง ที่ถีบเศรษฐกิจชาติลงไปในบ่อมรณะ ทำลายความสามารถในการแข่งขันอย่างชั่วร้ายที่สุด ผ่านนโยบายหาเสียงที่มีการทุจริตเชิงนโยบาย อาทิ โครงการจำนำข้าว เป็นต้น
3. การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ เป็นภารกิจสำคัญด้านหนึ่ง ที่อยู่ในโรดแมปของ คสช.ด้วย
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ในฐานะประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ได้เปิดเผยความคืบหน้าและภาพรวมของการจัดทำแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ น่าสนใจมาก
ทำให้ภาพคร่าวๆ ของงานสำคัญๆ ที่เราจะต้องทำ หากต้องการจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างแท้จริง และอยู่ในรอดในภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสมัยใหม่
คณะกรรมการฯ ได้แบ่งประเด็นปฏิรูปออกเป็น 3 ด้าน หลักๆ ได้แก่
(1) การเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขัน ให้กับทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ
ระยะสั้น การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่เราเก่ง มีความชำนาญ เช่น เกษตรแปรรูป อาหาร ท่องเที่ยว สุขภาพ ยานยนต์ การค้า SMEs Hospitality รวมทั้งเรื่องที่วันนี้เรายังไม่เก่ง แต่ต้องให้ความสำคัญ เพราะจะช่วยสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะต่อยอดขึ้นไป เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล และเทคโนโลยีชีวภาพ
ระยะกลาง การขยายตลาดด้วยการสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศกลุ่ม CLMVT มีขนาดตลาด 230 ล้านคน ซึ่งรวมบังกลาเทศอีก 160 ล้านคน จะทำให้ตลาดมีขนาดถึง 400 ล้านคน ซึ่งประเทศกลุ่มนี้โตปีละ 6-8% โดยมีการเชื่อมโยงกันผ่านโครงข่ายคมนาคมที่จะเอื้อให้บริษัทต่างๆ เลือกใช้ไทยเป็นฐานในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค (Regional Supply Chain)
ระยะยาว การก้าวเป็น Innovation Hub และ Startup Nation ที่รายได้หลักจะมาจากการสร้างนวัตกรรมของเราเอง และเป็นผู้นำและแหล่งกำเนิดของ Startup ในภูมิภาค รวมถึงส่งเสริมการวิจัยและใช้ Big data เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน
(2) การลดความเหลื่อมล้ำ และกระจายประโยชน์จากการพัฒนาไปสู่ประชาชนให้ทั่วถึงมากขึ้น โดยจะมีหน่วยงานดูแลจากส่วนกลาง มีการจัดสรรประโยชน์ใหม่ ที่จะช่วยให้สังคมมีความสมดุลมากขึ้น และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ระดับประเทศสังคม การพัฒนาหัวเมืองใหญ่ในภาคต่างๆ ควบคู่ไปกับกรุงเทพฯ และการจัดสรรงบประมาณให้กับจังหวัดที่ยากจน เพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค การสร้างระบบสวัสดิการพื้นฐาน การปฏิรูประบบภาษี การเร่งโครงการประชารัฐ เพื่อให้กลุ่มธุรกิจที่ประสบความสำเร็จช่วยเหลือทุกคนให้เข้มแข็งมากขึ้น
ระดับชุมชน การสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง ซึ่งรวมถึงการจัดให้มีสถาบันการเงินในชุมชนต่างๆ การพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชนการส่งเสริมให้มีวิสาหกิจชุมชน ตลอดจนการวางกรอบเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) เป็นต้น
ระดับบุคคล การเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรและกลุ่มแรงงานที่ยากจนในระดับฐานราก โดยเปิดโอกาสการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมมากขึ้น
(3) การปฏิรูปโครงสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจ (Institution) เกี่ยวข้องกับการปรับกลไกและบทบาทของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยการปฏิรูปด้านที่ 1 และ 2 ให้สำเร็จ เพราะภาครัฐเป็นผู้กำหนดนโยบาย กฎหมาย กฎเกณฑ์ กติกา ซึ่งจะมีผลต่อการสร้างแรงจูงใจและ Eco system ที่เอื้อให้ระบบเศรษฐกิจพัฒนาได้เต็มศักยภาพ
เรื่องที่สำคัญ คือ การปฏิรูปกฎหมายเศรษฐกิจให้ทันสมัย เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ (Ease of doing business) ภาครัฐต้องปรับบทบาทจากผู้กำกับดูแล ให้เป็นผู้สนับสนุนภาคธุรกิจ และปล่อยให้มีการแข่งขันตามระบบตลาดเสรีให้มากขึ้น รวมทั้งปรับปรุงกลไกหน่วยงานภาครัฐ ทั้งในระดับการวางยุทธศาสตร์ การปฏิบัติ และการติดตามประเมินผล
4. เมื่อพิจารณาประเด็นการทำงานปฏิรูปด้านเศรษฐกิจแล้ว นับว่ามีความน่าสนใจ และหากดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เกิดผลสัมฤทธิ์แท้จริง จะมีผลสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีได้แน่ๆ เพราะในแต่เรื่องที่ว่ามานั้น ล้วนมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้จริงอยู่ทั้งสิ้น และเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนครอบคลุมทุกระดับ ทุกภาคส่วนเลยก็ว่าได้
ประเด็นสำคัญ คือ การสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้น ทุกภาคส่วนจะต้อง “ลงมือ ลงแรง”
เราเป็นนักกีฬา ที่ตอนนี้ สภาพร่างกายแย่ ขาดความสามารถในการแข่งขัน การจะกลับมาฟิต สร้างความสามารถคืนมาอีกครั้ง หากภาคเอกชน เกษตรกร แรงงาน ผู้ประกอบการในประเทศ จะไม่ยอมเสียเหงื่อ เปลี่ยนวิธีการฟิตซ้อม ทำงานหนักขึ้น พัฒนาการเล่นแบบใหม่ๆ เพื่อให้เท่าทันคู่แข่ง แต่จะอยู่กันแบบเดิมๆ อย่างเดียว ความสามารถในการแข่งขันจะฟื้นคืนมาได้อย่างไร?
งานนี้ ถ้าประเทศไทยทำไม่สำเร็จ เราอาจจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปตลอดกาล ต้องมองประเทศอื่นๆ วิ่งแซงเราไปเรื่อยๆ คนที่จะลำบากที่สุดก็คือลูกหลานในวันข้างหน้า
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี