ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสุราและบุหรี่ ถูกเรียกว่า “ภาษีบาป”
ถือเป็นรายได้ที่มีความสำคัญลำดับต้นๆ ของรัฐบาลทุกยุค
ปัจจุบัน ภาษีบาปยังถูกใช้เป็นแหล่งเงินสนับสนุนกองทุนที่มีภารกิจทางสังคมเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น สื่อสาธารณะ พัฒนากีฬา ช่วยเหลือคนชรา โดยออกกฎหมายในลักษณะยิงตรงเข้ากองทุน ไม่ต้องผ่านการจัดสรรรายปีของรัฐบาล
อาจกล่าวได้ว่า กิจการและกิจกรรมเหล่านี้ ได้กินบุญจากภาษีบาป
1. บำรุงกองทุนผู้สูงอายุ
ล่าสุด สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพิ่งผ่านพระราชบัญญัติผู้สูงอายุฯ ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญในการเพิ่มเติมแหล่งที่มาของเงินกองทุนผู้สูงอายุ และนำเงินกองทุนผู้สูงอายุไปจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่อยู่ในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้มีรายได้ในการดำรงชีพเพิ่มขึ้น
ย้ำ ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยจะได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติม เพื่อให้ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงวัยมากขึ้น
ในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐในปี 2560 มีจำนวนราวๆ 3.6 ล้านคน
โดยแหล่งที่มาของเงินกองทุนสำหรับการนี้ มาจากสองทาง ได้แก่
(1) เงินบำรุงกองทุนผู้สูงอายุ จากผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต ในอัตราร้อยละ 2 ของภาษีที่เก็บจากสินค้าสุราและยาสูบตามกฎหมายดังกล่าว
สูงสุดปีงบประมาณละไม่เกิน 4,000 ล้านบาท
(2) โครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ กำหนดวันเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป โดยให้ผู้ที่รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอยู่ในปัจจุบันสามารถแจ้งความประสงค์ขอบริจาคเบี้ยยังชีพได้ ทั้งนี้ ผู้บริจาคจะได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติ และสิทธิในการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1 เท่าของเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อน
ส่วนผู้สูงอายุที่ไม่ประสงค์จะบริจาค ก็ยังคงได้รับเบี้ยคนชราจากรัฐบาลต่อไป
ปัจจุบัน รัฐบาลจัดสรรงบประมาณแผ่นดินปีละ 64,000 ล้านบาท จ่ายเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงวัย จำนวน 8 ล้านคน
กระทรวงการคลัง คาดว่า จะมีผู้สูงอายุที่มีฐานะดีประมาณ 1 ล้านราย ยอมสละสิทธิ์ นำเบี้ยยังชีพมาบริจาคให้กับกองทุนผู้สูงอายุ คิดเป็นเงิน 8,000 ล้านบาท
ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ เมื่อนำมารวมกับเงินบำรุงกองทุนผู้สูงอายุแล้ว จะทำให้กองทุนฯ มีรายได้ 12,000 ล้านบาทต่อปี และเพียงพอที่จะนำมาจัดสรรเป็น “เบี้ยยังชีพ” เพิ่มเติมให้กับผู้สูงอายุที่ยากจนราวๆ 300 บาทต่อเดือน
2. บำรุงกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติเดิม มีมานานแล้ว แต่มีปัญหาที่ขาดแคลนงบประมาณสนับสนุน
ในยุครัฐบาล คสช.นี่เอง ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านเป็นกฎหมาย เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2558
ในพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 กำหนดให้มีการรวมกองทุนกีฬาในการกีฬาแห่งประเทศไทย 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนการศึกษาของนักกีฬา กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และกองทุนสวัสดิการนักกีฬา ให้เป็น “กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ”
กำหนดให้จัดเก็บเงินบำรุงกองทุนจากผู้มีหน้าที่เสียภาษี ตามกฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ ในอัตราร้อยละ 2 ของภาษีที่เก็บได้จากสุราและยาสูบ
แต่ละปี ตกอยู่ที่ราวๆ 4,000 ล้านบาท
เงินจำนวนนี้ ไม่ใช่น้อยๆ เพราะมากกว่างบประมาณแผ่นดินที่บางกระทรวงได้รับจัดสรรด้วยซ้ำ
ด้านหนึ่ง เป็นการตัดปัญหาการของบประมาณเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมกิจการกีฬาของประเทศ รวมทั้งเงินรางวัลนักกีฬา ซึ่งปกติจะต้องขอจากงบประมาณแผ่นดินประจำปี ตามช่องทางปกติ โดยอีกด้านหนึ่งก็เป็นการทำลายวินัยของระบบการเงินและการคลังของประเทศ เพราะเป็นการต่อสายตรงเข้ากองทุนฯ
3. บำรุงสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และ สสส.
นอกจากของใหม่ที่เพิ่มเติมมาในยุครัฐบาล คสช.แล้ว การใช้วิธีการต่อสายตรงให้มีการใช้ภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ หรือ Earmarked Tax จากภาษีบาป ที่มีอยู่เดิมแล้ว ก็คือ
บำรุงกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สัดส่วน 2% หรือประมาณปีละ 4,270 ล้านบาท
บำรุงสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส 1.5% หรือไม่เกิน 2,000 ล้านบาทต่อปี
4. โจทย์สำคัญ คือ จะประเมินความคุ้มค่าของการต่อท่อเอาเงินภาษีไปใช้โดยตรงในกิจการเหล่านี้อย่างไร?
เงินที่จ่ายแล้วไปสู่กระเป๋าของชาวบ้านโดยตรง อย่างกองทุนผู้สูงอายุ น่าจะมีปัญหาน้อย เพราะกองทุนเสมือนเป็นเพียงทางผ่าน เงินไหลไปเท่าไหร่ ตรวจสอบได้หมด ไปตกแก่ผู้สูงอายุกี่คน คนละกี่บาท
แต่กองทุนอื่นๆ ได้แก่ สสส. ไทยพีบีเอส พัฒนากีฬา ที่มีภารกิจในการทำกิจกรรม จะต้องถูกประเมินผลว่ากิจกรรมเหล่านี้สัมฤทธิผลแค่ไหน ตรงวัตถุประสงค์แท้จริงหรือไม่ อย่างไร
เอาง่ายๆ แค่รัฐบาล คสช.ลุกขึ้นมาจะตรวจสอบ สสส. ก็มีเสียงโวยวายโครมคราม
อย่าลืมว่า หากไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หรือต่อท่อเอาเงินภาษีไปใช้โดยตรงเช่นนี้ เงินที่สามารถจะเก็บเข้าส่วนกลาง เป็นรายได้ของแผ่นดิน นำมาวางแผนจัดสรรไปในกิจการอื่นๆ ก็ย่อมจะมากขึ้น
กองทุนที่กินบุญภาษีบาปเหล่านี้ ควรจะต้องมีกฎหมายที่กำหนดวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด ทั้งเพดานการใช้งบ และระบบตรวจสอบที่ชัดเจน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี