ครั้งใดก็ตามที่มีใครตั้งคำถามต่อคณะผู้นำประเทศในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า เมื่อใดถึงจะ“ปลดล็อก”การเมือง (ยกเลิกคำสั่งห้ามมิให้มีการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง รวมทั้งการทำหน้าที่ต่างๆ ของบรรดาพรรคการเมือง) ก็มักจะได้รับคำตอบสั้นๆ กลับมาว่า สถานการณ์ยังไม่อำนวยบ้าง บ้านเมืองยังไม่มีเสถียรภาพบ้าง ทั้งๆ ที่กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว และสถานการณ์บ้านเมือง เท่าที่เห็นๆ กันอยู่โดยทั่วไป ก็ดูสงบเรียบร้อยดี ซึ่งในช่วงเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา คือผลที่แสดงให้เห็นว่า คสช. “เอาอยู่”
นั่นจึงไม่แปลกที่ทำให้หลายๆ คนมีคำถามว่า แล้วทำไมไม่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้คิด ได้พูด ได้แสดงออกเสียที? นอกจากนั้น
ที่ผู้นำประเทศที่เป็นทหารหาญทั้งหลายยังพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า บ้านเมืองขณะนี้ยังไม่มีเสถียรภาพนั้น มันหมายความว่าอย่างไร เสถียรภาพที่ผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จหมายถึงนั้น คือเสถียรภาพของอะไรกันแน่?
ถ้าเสถียรภาพในความหมายของผู้ยึดกุมอำนาจแปลว่า ต้องคงการใช้กฎเหล็ก คำสั่งคณะคสช. มาตราที่ 44 ไปเรื่อยๆ ก็คงสะท้อนให้เข้าใจไปว่า สังคมไทยจะมีเสถียรภาพได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในกรอบของสังคมเผด็จการเท่านั้น ส่วนเรื่องสังคมประชาธิปไตยไม่ต้องพูดถึงอีกต่อไป เพราะมันสั่นคลอนเสถียรภาพ จากการแสดงความต่าง การเรียกร้องความถูกต้องยุติธรรม การร่วมคิดร่วมทำ ก็แปลว่าเสถียรภาพคือการไม่มีการแสดงออกใดๆ
ซึ่งถ้าพวกผู้ยึดกุมอำนาจเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุการไร้เสถียรภาพ ก็เท่ากับบอกว่า เป็นการปฏิเสธสังคมประชาธิปไตยและเชื่อถือประสิทธิภาพของสังคมเผด็จการเท่านั้น หรือนัยหนึ่งสังคมไทยจะอยู่ได้ก็ต้องกดหัวประชาชนเท่านั้น แล้วมีผู้คนในเครื่องแบบแค่หยิบมือเดียว พร้อมอาวุธและกำลังทหารเป็นเครื่องมือกลไก บวกกฎเหล็กที่เขียนขึ้นเอง ใช้เองเท่านั้น บ้านเมืองจึงจะสงบเรียบร้อย
จริงอยู่ที่ว่า เสถียรภาพสามารถสร้างขึ้นได้โดยไว จากความเป็นเผด็จการ แต่ก็ไม่เห็นว่าเสถียรภาพแบบนั้นจะมีความร่มเย็น สงบสุข และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยั่งยืน เนื่องจากมันบ่มเพาะความรู้สึกต่อต้าน รังเกียจขึ้นในใจของประชาชนให้ทวีมากขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลามากกว่า
ฉะนั้น เสถียรภาพของสังคมที่แท้จริง ต้องมาจากจิตสำนึกและความรับผิดชอบร่วมกันต่อความเป็นไปของบ้านเมือง เพราะมนุษย์ต่างมีสติและปัญญา สามารถที่จะหาทางออกกับความต่างและความขัดแย้งทางความคิดได้ อีกทั้งมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นคนดี คนไม่ดี มีจำนวนน้อย แต่ไม่กลัวคุกตะราง ไม่กลัวบุญกลัวบาป ด้านได้อายอด และหยั่งรู้ว่า เมื่อชั่วร้ายแล้ว ผู้คนไม่อยากตอแยด้วย ในทำนองธุระไม่ใช่ หรือเกรงกลัว ก็เท่ากับเป็นการสมยอมหรือยอมแพ้ไปในตัว ก็เกิดอาการเหลิงและย่ามใจ
ที่ผ่านมา เราได้เห็นผู้คนออกมาต่อต้านมารร้ายสังคมอยู่ทุกครั้งไป ซึ่งพลังสังคมนั้นสามารถขับดันไปได้ในระดับหนึ่ง หลังจากนั้นก็ต้องอาศัยพึ่งพาผู้อาสาเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เช่น ในกรณีล่าสุดก็คือ คสช.นั่นเอง
แต่เมื่อ คสช.อาสาเข้ามาแล้ว แทนที่จะมุ่งมั่นขจัดมารสังคม ถอนรากถอนโคนต้นเหตุความวุ่นวายในสังคมให้หมดสิ้น กลับไปตีกรอบและกดผู้คนไว้ทุกคนทั่วประเทศ โดยมิได้แยกแยะว่า ใครดี ใครเลว ใครทำผิดหรือถูกต่อบ้านเมือง ก็เท่ากับว่า คณะ คสช.มิได้ขจัดมารสังคมให้เด็ดขาด แถมยังให้มีสถานะเท่าเทียมกับผู้ต่อสู้เพื่อความดีงาม และผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นคนดี ก็เลยต้องพลอยฟ้าพลอยฝนรับเคราะห์กรรมไปด้วย
เสถียรภาพสังคมไทยจะเกิดขึ้นได้จริง ต่อเมื่อ คสช.ลงมือขจัดผู้ทำร้ายบ้านเมือง ผู้บ่อนทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือผู้บ่อนทำลายความเป็นราชอาณาจักรที่เป็นสังคมประชาธิปไตยให้สิ้นเท่านั้น
และเมื่อผู้ยึดกุมอำนาจรัฐไม่แยกแยะให้แน่ชัด ไม่ดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้ร้ายสังคมเหล่านี้ เลยส่งผลให้เกิดคลื่นใต้น้ำ และความได้ใจที่สามารถบ่อนทำลายสังคมจากใต้ดินต่อไปได้ ในระยะยาวสังคมไทยก็ยังขาดเสถียรภาพโดยปริยาย ด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ คสช.ก็จะมีข้ออ้างมาใช้ดำรงอำนาจสูงสุดแบบเผด็จการต่อไปเรื่อยๆ โดยลืมคิดไปว่า นั่นเป็นการกดขี่ผู้คนทั้งประเทศ ซึ่งหากคิดในแง่ร้าย อาจกล่าวได้ว่า เท่ากับเป็นการจงใจเก็บผู้บ่อนทำลายประเทศเอาไว้เป็นข้ออ้างว่า สังคมยังไม่มีเสถียรภาพ และก็ถือโอกาสตีกินอยู่ในอำนาจแบบเผด็จการนิยมต่อไปเรื่อยๆ นั่นเอง
ซึ่งในทางกลับกัน ก็ไม่แปลกที่ประชาชนจะรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เมื่อพวกผู้ยึดกุมอำนาจไม่ลงมือขจัดศัตรูของราชอาณาจักรชาติไทยให้สิ้นซากไปเสียที ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะให้พวกท่านอยู่ในอำนาจต่อไป เพราะนอกจากปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ก็ยังเท่ากับว่า ไม่ได้ปูทางกลับสู่สังคมประชาธิปไตยให้สังคมไทยอย่างจริงจังหนักแน่นเสียที
ฉะนั้น ในสายตาของผู้ร่วมเป็นเจ้าของประเทศ เริ่มมองเห็นแล้วว่า คสช.มิใช่คณะรัฐบาลแห่งการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจากการเมืองสามานย์ สู่การเมืองแห่งธรรมาภิบาลเสียแล้ว กลับกลายเป็นรัฐบาลรูปโฉมเผด็จการเต็มรูปแบบต่อไปด้วยวลีว่า เพื่อความเป็นเสถียรภาพของบ้านเมือง“พวกข้าพเจ้าก็ขออยู่ในอำนาจต่อไป”
ซึ่งที่ผ่านๆ มา ประชาชนพลเมืองเขายินยอมให้กองทัพเคลื่อนเข้ามามีอำนาจ มิใช่ว่าเพราะเขาพึงประสงค์เห็นเสถียรภาพด้วยอำนาจกระบอกปืน หากแต่หวังว่าจะแก้ไขปัญหาต้นตอความยุ่งเหยิงให้จบสิ้น และต้องการมีเสถียรภาพในกรอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นใหญ่และสามารถดูแลตนเอง และกำกับควบคุมความเป็นไปในสังคมได้ เพราะจะไม่มีมารร้ายสังคมแล้ว
ทั้งหมดทั้งปวงนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคณะ คสช. ขจัดศัตรูตัวจริงของบ้านเมืองและเตรียมประเทศ เตรียมประชาชนให้เป็นพลเมืองประชาธิปไตยได้พร้อมมูล คณะ คสช. ก็จะทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองในฐานะผู้คลอดประชาธิปไตยอย่างจริงจังนั่นเอง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี