ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสจะเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่ ก็ปรากฏการเคลื่อนไหวในรัฐบาลหลายจังหวะ ตั้งแต่ข่าวปรับครม.ใหญ่ ที่สุดท้ายไม่รู้ใหญ่จริงหรือปรับพอเป็นพิธี? หรือกรณีจริงหรือไม่?ที่คำสั่งการนายกฯเกือบทุกการประชุม ที่ให้ประชาสัมพันธ์โครงการต่างๆ ให้ประชาชนรู้ให้ได้ว่ารัฐบาลทำ ทั้งโครงการเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างอีอีซี ไล่จนถึงระดับรากหญ้าอย่างโครงการประชารัฐ ก็ให้โหมกระหน่ำประชาสัมพันธ์ ใช่หรือไม่? ทั้งเรื่องปรับ ครม.และโหมกระหน่ำประชาสัมพันธ์ล้วนเพื่อกลบกระแสปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจฝืดเคืองของประชาชนรากหญ้า ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่มีเส้นสายในรัฐบาล ไม่ได้ใกล้ชิดครม.ชนชั้นนำในกระทรวงด้านเศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร ธุรกิจเหล่านั้นแทบอยู่ไม่ได้ จนเกิดคำถามว่า เอาเข้าจริงตลอด 3 ปี รัฐบาลนำพาภาษีประชาชนไปสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ชะลอตัว ทรงตัว หรือแย่ลงกว่าเดิม?
ตลอด 3 ปีกับคำถามเรื่องผลงานรัฐบาล ผลงานที่ดีเด่น ต้องยกให้การจัดการเรื่องความสงบเรียบร้อยของประเทศ ที่ถือว่าบริหารจัดการทำได้ดี ทั้งเรื่องการยุติปัญหาความขัดแย้ง ความรุนแรงทางการเมือง นำพาบ้านเมืองกลับสู่ความสงบเรียบร้อย,การทวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ถูกนำไปเป็นของส่วนตัวกลับคืนมา จัดสรรที่ทำกินให้กับประชาชน,จัดระเบียบสังคม,แก้ปัญหาเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมทั้งการควบคุมเรื่องอาวุธกลุ่มใต้ดินที่พยายามสร้างสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งรัฐบาล คสช.จัดการได้เป็นอย่างดี แม้จะถูกท้วงติงเรื่องการจัดการคอร์รัปชั่นที่ตกหล่นในพวกตัวเอง หรือแม้กระทั่งการสร้างความปรองดองที่ไม่ดีเท่าที่ควร?
ในมุมของการส่งเสริมประชาธิปไตย การปฏิรูปประเทศและปฏิรูประบบราชการ เหมือนจะมีการพูดเรื่องนี้ในตอนต้น แต่ไม่เห็นเป็นผลประจักษ์แต่อย่างใด? มีแต่การปาฐกถาพูดแล้วก็พูดอีก แต่สิ่งที่ทำจริง กลับเป็นการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับ พบว่า มีการเพิ่มอำนาจให้ข้าราชการในการใช้ดุลพินิจมากกว่าเดิม รวมถึงอำนาจการอนุมัติสิ่งต่างๆที่มองบางมุม อาจเสี่ยงต่อการเรียกรับผลประโยชน์ หากอำนาจนั้นตกอยู่ในมือข้าราชการที่ไม่ดี ขณะที่การปฏิรูปตำรวจยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ล่าสุดพบว่า เหตุการณ์ที่ชาวอุยกูร์แหกห้องขังตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลา โดยเจาะผนังห้องกักขังแล้วต่อผ้าโรยตัว จนหลบหนีไปได้ 20 คน ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า เหตุใดชาวอุยกูร์ถึงสามารถแหกห้องขังครั้งนี้ไปได้? การหลบหนีครั้งนี้สะท้อนให้เห็นชัดแล้วว่า ประสิทธิภาพการทำงานของตำรวจนั้น เป็นอย่างไร? ยังไม่นับปัญหาอื่นๆของตำรวจต่อการเลือกไม่รับแจ้งความ ทำคดีล่าช้า หรือผู้มีอิทธิผลเข้าแทรกแซงคดี สะท้อนถึงการแก้ปัญหาและการทำงานที่ไม่สนใจความรู้สึกประชาชนแม้แต่น้อย? ยึดแต่อำนาจที่ตัวเองมีตามกฎหมาย และใช้ดุลพินิจตามใจ นายตำรวจหลายคนร่ำรวยทั้งที่เงินเดือนไม่กี่บาท นี่หรือการปฏิรูปตำรวจจนจะหมดวาระแล้วก็ยังไม่เห็นผลงานเป็นที่ประจักษ์? และประชาชนฝากบอกว่า การตั้งคณะกรรมการหลายชุด ไม่ได้แปลว่าแก้ปัญหาแล้ว
แต่ทั้งหมดยังไม่น่าห่วงเท่าปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องปากท้องประชาชน ไม่สามารถเอาตัวเลขที่เสกสรรปั้นแต่งใดมาทำให้หายหิวได้ ความหิวที่เกิดจากความจน หรือการเป็นหนี้ เป็นข้อพิสูจน์ชัดเจน ที่ไม่ว่าประชาสัมพันธ์อย่างใด ก็ไม่สามารถลบข้อเท็จจริงนี้ได้ ตลอด 3 ปีกว่า นโยบายเศรษฐกิจที่ถูกผลิตจากครม.ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล(กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร) ต้องยอมรับว่า ไม่สามรถกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในประเทศได้อย่างแท้จริง ถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียงการให้เงินโปรย ที่ไม่สามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าระยะยาวหรือสั้นก็ตาม ปัญหาความเชื่อถือต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจหนักมากขึ้น จนเป็นกระแสในต่างจังหวัดขณะนี้ ถึงขนาดระดับรองนายกฯต้องออกมาประกาศทำนองว่า ไม่เกินปีหน้าประเทศไทยจะไม่มีคนจนแล้ว? แต่ก็ไม่อาจฉุดรั้งกระแสความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วได้แม้แต่น้อย
ย้อนไปก่อนที่ศรัทธาจะเปลี่ยน ไล่มาตั้งแต่ช่วงต้นรัฐบาล พลเอกประยุทธ์และทีมเศรษฐกิจชุดแรกที่เข้ามาพร้อมกับความตั้งใจทำงาน ได้เห็นชอบแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะต่างๆครั้งแรก ถ้าจำไม่ผิดช่วงปลายปี 2557 ที่รัฐบาลใช้เงินกว่า 4 แสนล้านบาท กำหนดให้แต่ละหน่วยราชการนำงบฯไปหาวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจเอง ไม่มีรูปแบบตายตัว? ผลสุดท้ายราชการก็คือราชการ ไม่เข้าใจความต้องการของประชาชน และการช่วยเหลือประชาชนได้หรือไม่ ก็ไม่มีผลต่อความก้าวหน้าในการงานราชการปกครองส่วนภูมิภาค ในปีเดียวกันรัฐบาลยังมีแนวคิดจะใช้เงิน 2 ล้านล้านบาท วางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งตั้งแต่รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเพิ่มเติม รถไฟความเร็วสูง รวมไปถึงมอเตอร์เวย์ 3 สายสำคัญ สร้างกระแสฮือฮา ผ่านไป 3 ปี ก็ยังไม่เห็นการปักเสาแม้แต่ต้นเดียว ใช่หรือไม่? รถไฟความเร็วสูงสถานีแรกจะโผล่ตรงไหน ก็ยังไม่มีให้เห็น? เปลี่ยนรมว.คมนาคมหลายคนก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอยู่ดี ใช่หรือไม่? การลงทุนไม่เกิด เงินลงทุนไปไม่ถึงรากหญ้า การใช้ประโยชน์จากรถไฟก็ยังไม่มี เครดิตที่ 1 ก็ได้หายไปแล้ว
นอกจากนั้นปัญหาพื้นฐานทั้งเรื่องปากท้อง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ภาวะการว่างงานที่เด็กจบใหม่นับแสนรายต้องเตะฝุ่น รวมไปถึงกำลังซื้อภาคครัวเรือนที่หดตัว หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นไม่ต่างกับยุคก่อน ทีแรกนึกว่า จะดีกว่ารัฐบาลก่อนหน้าแล้ว แต่ดูแล้ว ไม่ทรงก็ทรุดกว่า เครดิตที่ 2 เสียไปแล้ว
ซ้ำร้ายกว่านั้น ช่วงปลายปี 2558 รัฐบาลยังออกมาตรการจัดการกับผู้ค้าขายบนทางเท้า จริงอยู่ว่าแนวความคิดการจัดระเบียบให้ถูกต้องตามกฎหมายและคืนทางเท้าให้ประชาชน เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้มองรอบด้านว่า การตัดสินใจนโยบายหนึ่ง จะส่งผลกระทบต่ออะไรอีกบ้าง? แม่ค้าจะไปขายของที่ไหน? ประชาชนระดับแรงงานและลูกจ้างจะหาซื้ออาหารราคาถูกกินได้จากที่ใด? เพราะการจัดตลาดให้พ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ไว้นอกเมือง ไม่สนองโจทย์ดังกล่าว คงไว้แต่ร้านสะดวกซื้อ 2 ยี่ห้อที่ได้ประโยชน์จากการจัดระเบียบครั้งนี้ ถึงขนาดร้านสะดวกซื้อบางร้านได้โอกาสเปิดช่องทางขายอาหารในรูปแบบใหม่ๆ เพิ่ม แนวคิดแบบนี้เรียกว่า ทำถูกกฎหมายแต่ไม่เข้าใจประชาชน และยิ่งสร้างปัญหาให้ประชาชนเครดิตที่ 3 ก็เสียไปด้วย
ขณะที่หลายมาตรการที่รัฐบาลอ้างเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ไล่ตั้งแต่มาตรการแจกเงินผู้มีรายได้น้อยคนละ 1,500-3,000 บาทในโครงการสวัสดิการแห่งรัฐปลายปีที่แล้ว? จนถึงล่าสุดในช่วงที่อาจเป็นช่วงสุดท้ายของรัฐบาลคสช.ที่เปิดให้ลงทะเบียนคนจน ตามมาด้วยการจัดรางวัลชุดใหญ่ให้ประชาชนโดยการออกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจน ที่ให้ทั้งค่าโดยสารสาธารณะต่างๆ ค่าแก๊สหุงต้ม และค่าซื้อของอุปโภคบริโภคต่างๆ ที่ใช้งบประมาณครั้งใหญ่โปรยลงไปให้ถึงมือประชาชนอย่างเร็วที่สุดแล้วก็หมดไป รวมถึงนโยบายช็อปช่วยชาติที่สุดท้าย ถูกมองว่าตอบโจทย์เฉพาะคนมีฐานะเท่านั้น เพราะคนรากหญ้าคงไม่มีกำลังซื้อมากพอจะมาลดหย่อนภาษีได้ ไม่ต่างกับครั้งทำโครงการบ้านประชารัฐก่อนหน้า นโยบายเหล่านี้สุดท้ายแล้ว ไม่รู้ว่าประชาชน หรือนักธุรกิจจะได้ประโยชน์มากกว่ากัน?หรือสุดท้ายแล้วอาจได้เพียงบิ๊กดาต้าเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของใครบางคน?
เกิดเป็นคำถามว่า เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไหน? ระยะยาวหรือระยะสั้น ไฟไหม้ฟาง? ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศ ได้จริงหรือ? อย่างไรก็ตามมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองฝากเตือนนายกฯด้วยความเป็นห่วง ให้ควบคุมคนของตัวเองในการใช้เงินรัฐบาลว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยเงินภาษีก็ดี เป็นสิ่งที่ทำได้และควรทำ แต่การนำเงินภาษีประชาชนมาใช้ควรคิดให้รอบคอบ โดยเฉพาะการนำมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องก่อให้เกิดการสร้างรายได้และอาชีพที่ยั่งยืนกับประชาชน มากกว่าส่งเสริมการบริโภค ซึ่งจะส่งผลต่อแนวคิดประชาชนในระยะยาว และต้องไม่ลืมว่า ภารกิจหลักของรัฐบาลนี้คือการปฏิรูปประเทศทุกด้าน ต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น แม้กระทั่งแนวคิดนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ไม่น่าจะใช้วิธีเดิมๆ ที่ก่อให้เกิดผลเสียกับประเทศมาแล้ว เครดิตที่ 4 เสียไปแล้ว
หลังจากความไว้เนื้อเชื่อใจในความสามารถรัฐบาลเริ่มลดลง การมองในเชิงความนิยมชมชอบก็เริ่มเลือนลางไปด้วย เหลือแต่ข้อเท็จจริงจากการบริหารงานด้านต่างๆ อย่างตอนนี้มีคนตั้งคำถามกันว่า การที่คนดังต้องออกมาวิ่งเพื่อระดมทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลที่ขาดแคลน ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาสาธารณสุขของประเทศ และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนทั่วประเทศตลอดเส้นทาง อย่างไรก็ตามจะให้แต่ภาคประชาชนขยับฝ่ายเดียวคงไม่พอ ภาครัฐโดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบัน เหตุใดจึงนิ่งเฉย แทนที่จะใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปการจัดการงบประมาณสาธารณสุขของตัวเองร่วมกันไปด้วย? อย่าปล่อยให้เกิดการเปรียบเทียบความจำเป็นเรื่องงบฯสาธารณสุข กับงบฯกลาโหม เพราะยามน้ำตาลก็ขมเช่นนี้ ข้อมูลและตัวเลขของภาคประชาชนก็ขุดขึ้นมามากมาย ทั้งเรื่องเปรียบเทียบกับการจัดซื้อเรือดำน้ำหรืองบพิเศษอื่นๆ ของกลาโหม อย่าปล่อยให้การเปรียบเทียบแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยนัก ควรรีบเข้าไปจัดการแก้ไขทั้งเรื่องงบฯสาธารณสุข และการใช้เงินของ ครม.ทั้งหมด เพราะวันหนึ่งถ้าสถานการณ์เปลี่ยน ความคิดประชาชนเปลี่ยน ไม่รู้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?
ทั้งหมดกล่าวได้ว่าน่าเห็นใจพล.อ.ประยุทธ์ในฐานะนายกฯและหัวหน้าคสช.ที่นอกจากต้องแก้ไขปัญหาประเทศแล้ว ยังต้องเผชิญกับการพยุงเพื่อนพ้องน้องพี่ ยังไม่สายหากคิดจะปรับเปลี่ยนทั้งนโยบายและคนกำกับนโยบาย โดยคำนึงถึงเป้าประสงค์ ณ วันแรกที่ตัดสินใจมากอบกู้ประเทศ นั่นคือการปฏิรูปประเทศเป็นหลัก สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งรวมถึงวัฒนธรรม เลิกใช้ข้าราชการเก่า เพื่อนเก่าเสียที...
“มิว่าผู้ใดเมื่อถูกกระทบกระทั่งอย่างรุนแรง
ความคิดและพฤติการณ์ของมัน ยากยิ่งจะไม่วู่วาม
หุนหันจนเกิดความเลินเล่อ”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ไม่มีน้ำตาวีรบุรุษ)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี