การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.... ตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา เสนอให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
แถมนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังนำเคาะอนุมัติจัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนประเดิมการจัดตั้งกองทุนฯที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2561
นับเป็นนิมิตหมายที่ดี และเป็น “สะพานแห่งโอกาสทางการศึกษา” แก่เด็กไทยจำนวนหลายล้านคน
1. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษานี้ เป็นคนละส่วนกับ กยศ.
กยศ. เป็นกองทุนเงินให้กู้ที่มุ่งช่วยเหลือการเรียนในระดับอุดมศึกษา
แต่กองทุนนี้ จะช่วยเด็กเล็กไปถึงการศึกษาภาคบังคับ
โดยกองทุนนี้ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ผ่านการลงประชามติมาแล้วนั่นเอง
มาตรา 54 รัฐต้องดําเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
รัฐต้องดําเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามวรรคหนึ่ง เพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย โดยส่งเสริมและสนับสนุน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการดําเนินการด้วย
รัฐต้องดําเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่างๆ รวมทั้งส่งเสริม ให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าที่ดําเนินการ กํากับ ส่งเสริม และสนับสนุนให้การจัดการศึกษา ดังกล่าวมีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติซึ่งอย่างน้อย ต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดทําแผนการศึกษาแห่งชาติ และการดําเนินการและตรวจสอบการดําเนินการ
ให้เป็นไปตามแผนการศึกษาแห่งชาติด้วย
การศึกษาทั้งปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติสามารถเชี่ยวชาญได้ ตามความถนัดของตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ
ในการดําเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาตามวรรคสองหรือให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามวรรคสาม รัฐต้องดําเนินการให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษา ตามความถนัดของตน
ให้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา และเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุน หรือใช้มาตรการหรือกลไกทางภาษีรวมทั้งการให้ผู้บริจาคทรัพย์สินเข้ากองทุนได้รับประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องกําหนดให้การบริหารจัดการกองทุน เป็นอิสระและกําหนดให้มีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว”
2. หลังรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาจำนวน 25 คน ศ.กิตติคุณ นพ.จรัส สุวรรณเวลา เป็นประธานฯ มี ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ เป็นประธานอนุกรรมการกองทุน ดำเนินการระดมความเห็น จนได้ร่างพ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.... กระทั่งเสนอต่อ ครม.ล่าสุด
เนื้อหาสาระหลักโดยสรุป ได้แก่ การกำหนดให้มี “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครูและอาจารย์ และเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติให้มีความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม รวมทั้งมีศักยภาพที่จะดำรงชีวิตโดยพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง
แหล่งเงินของกองทุนฯ มาจากไหน? ประกอบด้วย เงินที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นทุนประเดิมจำนวนหนึ่งพันล้านบาท, เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของเงินงบประมาณแผ่นดินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา, เงินรายได้จากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น, ผู้เสียภาษีเงินได้มีสิทธิแสดงเจตนาให้รัฐนำเงินที่ตนได้เสียภาษีไว้ไปอุดหนุนกองทุนได้ไม่เกินเพดานที่กำหนด และผู้บริจาคเงินให้แก่กองทุนมีสิทธินำจำนวนเงินที่บริจาคไปหักเป็นค่าลดหย่อนหรือรายจ่าย
เพื่อการบริจาคตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร
น่าสนใจว่า มาจากงบประมาณแผ่นดินไม่น้อยกว่า 5% ของเงินที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา หรือประมาณปีละ 2 หมื่นกว่าล้านบาท
ส่วนมาจากผู้เสียภาษีนั้น ก็คล้ายๆ ปัจจุบัน ที่ผู้เสียภาษีสามารถเลือกบริจาคให้พรรคการเมือง คราวนี้อาจเพิ่มช่องในเรื่องบริจาคให้“การศึกษาไปอุดหนุนกองทุนฯ”ในแต่ละปีก็ได้ โดยมีเพดานระบุว่าไม่เกิน5 พันบาท
3. ดร.ประสาร อธิบายชี้แจงเพิ่มเติม
กองทุนฯ ช่วยใคร?
กลุ่มที่ 1. เด็กเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และด้อยโอกาสตั้งแต่แรกเกิดจนสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มนี้เป็นหลัก
กลุ่มที่ 2.เด็กเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษา
กลุ่มที่ 3. ประชาชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ทุกช่วงวัยที่ต้องการพัฒนาต่อหรือพัฒนาทักษะอาชีพ เช่น เรียนในวิทยาลัยอาชีวะ เทคนิค เป็นต้น
และกลุ่มที่ 4.ครูอาจารย์ที่ขาดการสนับสนุนเสริมสร้างคุณภาพและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานกับผู้ที่เขาอาจจะเป็นครูและต้องการสนับสนุนเยาวชน แต่ขาดทุนทรัพย์ และด้อยโอกาส
ดร.ประสาร มองว่า หากได้เงินทุนตามคาดการณ์ คิดว่าน่าจะแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ระบุไว้ตั้งแต่ตอนต้น เช่น เรายังมีเด็กเยาวชนตั้งแต่แรกเกิดไปถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ยังเข้าถึงระบบการศึกษาไม่ทั่วถึง ทั้งที่มีโรงเรียนไม่เก็บค่าเล่าเรียนก็จริงแต่เมื่อไปเรียนมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามมา แต่รายได้ครอบครัวเขาไม่แน่นอนก็เป็นอุปสรรค บางคนต้องออกกลางคัน
บางคนเรียนต่อไม่ได้เพราะฐานะครอบครัวไม่อำนวย เราคิดว่าใน 10 ปีน่าจะแก้ไขได้ และยังประโยชน์ไปถึงผลผลิตมวลรวมของประเทศจำนวน “หลายแสนล้านบาท” ถือเป็นสิ่งที่เราคาดหวังไว้
4. น่าสนใจติดตามและเอาใจช่วย เพื่อให้กองทุนนี้ไปให้ถึงฝั่งฝันจริงๆ
หากทุกฝ่ายได้ร่วมกันพิจารณาอย่างรอบคอบ มิใช่เตะสกัดขัดขวาง แต่เพื่อช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้นจริง และมีประสิทธิผล โดยไม่กลัวว่าจะกลายเป็นผลงานของรัฐบาล คสช. น่าจะเป็นคุณูปการต่อเยาวชนคนรุ่นหลัง อาจชื่นชมมายังคนรุ่นเราบ้างว่า ได้ร่วมกันทำอะไรดีๆไว้กับพวกเขาบ้างเหมือนกัน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี