หัวเรื่อง “ระบอบประชาธิปไตย กับ นักวิชาการไทย” เป็นหัวเรื่องที่แวบผ่านเข้ามาในสมองของผู้เขียน เมื่อได้อ่านบทความ ซึ่ง รศ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ได้นำเสนอในหนังสือพิมพ์แนวหน้า (เดือนตุลาคม 2560) ท่านอาจารย์จ่าหัวเรื่องว่า “การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เป็นสากลยากที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทย” เป็นการจ่าหัวเรื่องบทความที่ท้าทายสังคมไทย (อย่างสมเหตุสมผล) ในประสบการณ์ของผู้เขียนมักไม่เคยได้ยินได้ฟังข้อสังเกตเช่นนั้น โดยเฉพาะจากนักวิชาการซึ่งควรจะเป็นผู้ชี้ทางสว่างให้แก่ผู้คนในสังคม
และที่กล้าหาญมากกว่านั้น เมื่อท่านอาจารย์เสนอบทความติดตามมาในหนึ่งหรือสองสัปดาห์ (มติชน วันที่ 2 พฤศจิกายน 2560) ชื่อเรื่องว่า “การส่งคืนอำนาจอธิปไตยกลับสู่สังคมไทย ประชาชนพร้อมที่จะรับหรือยัง”คำตอบของอาจารย์และของท่านอื่นๆ จะเป็นอย่างไร ก็คงต้องขอแรงให้สำนักโพลล์ ได้สำรวจความคิดเห็นกันอีกครั้ง แต่คาดว่าคำตอบน่าจะ “ไม่พร้อม” เสียมากกว่า และหากถามต่อไปว่า เมื่อไม่พร้อมเช่นนี้ เป็นความรับผิดชอบของใครก็คงต้องสืบสาวคดีความไปจนถึงคณะราษฎร พ.ศ. 2475 หรือ ก่อนคณะราษฎรเสียอีก แต่เมื่อถึงขั้นนั้น ก็คงสืบหาจำเลยไม่ได้เสียแล้ว เพราะจะกลายเป็นว่า ผู้คนในประวัติศาสตร์ไทย เป็นจำเลยแทบทุกคน
อันที่จริง จำเลยคนแรก หรือกลุ่มแรก ก็น่าจะเป็นพวกฝรั่งตาน้ำข้าว ที่ดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำมาค้าขายกับพวกเราชาวตะวันออก และบังคับบีบคั้นให้เราต้อง “เปิด” ประเทศ เช่น การลดภาษีการนำเข้า-ส่งออก อนุญาตให้มีการซื้อขายสินค้าที่ฝรั่งต้องการ เช่น ข้าว ไม้สัก ดีบุก เครื่องเทศ ใบชา ตลอดจน “บังคับ” ให้ชาวเอเชียสูบฝิ่น
แต่การเปิดประตูการค้าก็เป็นเพียงบันไดขั้นแรก ที่จะตามมาคือ การสูญเสียดินแดนให้เป็นอาณานิคมของฝรั่ง ความจำเป็นภายหลังที่จะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารการปกครอง จนในที่สุดก็คิดจะเอาอย่างฝรั่งเรื่องระบบการเมือง ที่จะต้องมีระบบรัฐสภา และประชาธิปไตยในที่สุด
อันที่จริง ความปรารถนาที่จะมีระบบรัฐสภาและมีระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้มาจากข้อเสนอของประเทศมหาอำนาจจากตะวันตก แต่มาจากชาวไทยเราเองที่มีการศึกษาสูง และ/หรือ ได้ไปศึกษาในต่างประเทศ ได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของสังคมฝรั่ง ย่อมเกิดความนิยมในลัทธิธรรมเนียมการปกครองของฝรั่ง
แต่ภายหลังจากที่ได้มีการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีหน่วยงานการศึกษาระดับสูงที่สนใจศึกษาวิจัย ค้นคว้า เรื่องราวของระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยตะวันตก (หรือตะวันออก) อย่างเช่น อังกฤษ ว่าต้องต่อสู้ทางการเมืองมากี่ศตวรรษจึงมาถึงจุดนี้ได้ หรือฝรั่งเศสก็เช่นกัน ทั้งๆที่ผลิตนักปรัชญาเมธี ซึ่งชูธงเรื่องสิทธิเสรีภาพของมวลมนุษย์ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17-18 และทำการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ ค.ศ.1789 มีผลกระทบกระเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วยุโรป แต่ตนเองกลับแสวงหา“ตนเอง”ไม่พบ จนกระทั่งเข้ายุคประธานาธิบดี ชาร์ลเดอโกล (Charles de Gaulle) ค.ศ. 1958 และการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ใน ค.ศ. นั้น จึงสามารถประดิษฐานระบอบการเมืองการปกครองแบบรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตย และมีเสถียรภาพ มาจนทุกวันนี้
จากการเกริ่นนำค่อนข้างยืดยาวดังกล่าว ก็เพียงต้องการจะชี้ให้เห็นว่า การนำระบบการเมืองที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” เข้ามาสู่สังคมไทยนั้น อาจจะดูว่าง่ายบนกระดาษและตัวหนังสือ และสำหรับนักร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ “อาจ” ดูว่าง่าย แต่เมื่อนำสู่ภาคปฏิบัติกลับเกิดปัญหาทุกยุคทุกสมัย ตลอดเวลาแปดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เพราะอะไร? มีใครไต่ถามถึงสาเหตุที่แท้จริงหรือไม่?
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าในแวดวงรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ และกฎหมาย ได้มีการสำรวจวิจัยปัญหา และคิดค้นในเชิงทฤษฎีรัฐศาสตร์ด้วยหรือไม่ว่า ระบบการเมือง-การปกครองเช่นไร จึงจะเหมาะสมกับสังคมไทย และเหมาะสมในเชิงบวก เหมาะสมในเชิงที่จะชักนำสังคมไทยไปสู่เป้าหมายที่พึงปรารถนา
อันที่จริง ในแวดวงวิชาการสาขารัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ ในสหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆ ในยุโรป ไม่ได้ติดยึดในระบอบประชาธิปไตยแบบถวายหัว เป้าหมายของรัฐศาสตร์โดยพื้นฐาน คือ แสวงหาความจริงและหลักการที่เกี่ยวกับการเมือง-การปกครอง โดยมุ่งประเด็นว่า ระบบการเมือง-การปกครองแบบใด จึงจะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมที่เป็นเป้าหมาย ฉะนั้นงานวิจัยและศึกษาค้นคว้าในประเด็นนี้ จึงมีขอบเขตกว้างขวาง ตั้งแต่ระบบเผด็จการทหาร ระบบกษัตริย์ ระบบรัฐสภา ตลอดจนระบบประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม รวมทั้งระบบคอมมิวนิสต์ การเปิดใจกว้างเพื่อวิเคราะห์ศึกษาแทบทุกระบบ จึงช่วยให้เกิดวิสัยทัศน์กว้างและก่อให้เกิดผลบวกในแวดวงวิชาการ
ในท่ามกลางการศึกษาวิเคราะห์ในวงกว้างเช่นนี้ ก็ปรากฏว่า มีนักคิด หรืออาจจะเรียกว่า “เกจิอาจารย์” ท่านหนึ่งจากมหาวิทยาลัยดังในสหรัฐอเมริกา คือ ฮาร์วาร์ด ได้เสนอแนวคิดตามทฤษฎีใหม่ของท่าน ซึ่งอาจจะดูแหวกแนวจากความคิดเดิม ท่านผู้นี้ คือ ศาสตราจารย์แซมมวล ฮันติงตัน (Samuel Huntington) ซึ่งเสนอแนวคิดว่า ปัญหาของการเมืองในโลกสมัยใหม่ เป็นปัญหาของการขาดเสถียรภาพของระบบการเมือง-การล้มลุกคลุกคลาน การปฏิวัติรัฐประหาร ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ให้เห็นแทบทุกปี ปัญหาดังกล่าว โดยสรุป กำเนิดจากสาเหตุที่สำคัญคือ การขาดความเป็นสถาบันที่เข้มแข็งของสถาบันการเมืองในประเทศโลกที่สามทั้งหลาย
ข้อคิดของศาสตราจารย์ฮันติงตัน เสนอไว้ในหนังสือของท่าน ชื่อ “Political Order in Changing Societies”(ค.ศ. 1968) และศิษย์ผู้หนึ่งของท่าน ที่นำไปเผยแพร่คือฟรานซิส ฟูกูยามา (Francis Fukuyama) ผู้โด่งดังด้วยหนังสือ “The End of History and the Last Man” และปัจจุบันได้พัฒนาแนวคิดของศาสตราจารย์ฮันติงตัน ถึงระดับที่น่าจะสมบูรณ์แบบที่สุด ในหนังสือ 2 เล่ม มีชื่อว่า “The Origins of Political Order” (ค.ศ. 2011) และ “Political Order and Political Decay” (ค.ศ. 2014)
นักวิชาการสายสังคมศาสตร์ และโดยเฉพาะสาขารัฐศาสตร์ น่าจะได้ประโยชน์จากการศึกษาวรรณกรรมเหล่านี้ เพื่อชี้แนะทางสว่างให้แก่สังคมไทย และโดยเฉพาะผู้ที่กำลังมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปสังคมไทย ในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ข้อคิดของฟูกูยามา โดยสรุปมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง จะได้นำมากล่าวในบทความฉบับหน้า
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี