พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะคุ้นเคยอยู่กับคำสอนในทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นแต่ว่าได้รับคำสอนที่แตกต่างกันบ้าง ระดับแตกต่างกันบ้าง แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันและไม่แตกต่างกันก็คือคำสอนเกี่ยวกับเห็นธรรม ซึ่งทุกคนจะรู้จักกันดีว่าการจะได้รับผลหรือบรรลุมรรคผลใดๆ นั้นก็ต้องได้ดวงตาเห็นธรรม
นั่นเป็นเพราะชาวพุทธคุ้นเคยกับคำสอนหรือคำเทศนาเนื่องในโอกาสสำคัญในพระพุทธศาสนาทุกปี คือวันอาสาฬหบูชา ที่จะมีการพูดหรือสอนกันเกี่ยวกับการแสดงปฐมเทศนา ซึ่งเป็นการตรัสสอนธัมมจักกัปปวัตนสูตร และถือกันว่าเป็นพระสูตรสำคัญมากที่สุดพระสูตรหนึ่งที่ชาวพุทธจำเป็นต้องทำความรู้ ทำความเข้าใจ และทำการศึกษาให้ดี
ในตอนท้ายของสอนธัมมจักกัปปวัตนสูตรนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหยั่งวาระจิตของพระอัญญาโกณฑัญญะแล้วก็ทรงทราบว่าพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานว่า พระโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมแล้วหนอ ทรงอุทานเช่นนี้ถึงสามครั้ง
และแม้ในพระธัมมจักกัปปวัตนสูตรมีบทขยายอยู่อย่างชัดเจนว่า ธรรมที่พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นนั้นคือธรรมอะไร แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่มีการอบรมสั่งสอนหรือศึกษาในเรื่องนี้น้อยไป
ลองถามกันเองดูก็ได้ว่าธรรมที่พระอัญญาโกณฑัญญะเห็น และพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุทานนั้นคืออะไร ก็อาจจะตอบผิดบ้าง ถูกบ้าง หรือผิดๆถูกๆบ้าง เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการอบรมศึกษาพระพุทธศาสนาในบ้านเมืองของเรานั้นขาดๆแหว่งๆ จนทำให้ชาวพุทธไม่สามารถลิ้มชิมรสพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธทั้งหลายควรจะได้ทำการศึกษา ทำความรู้ ความเข้าใจกันให้แพร่หลายว่าการมีดวงตาเห็นธรรม หรือได้ดวงตาเห็นธรรม หรือเห็นธรรมนั้น เห็นธรรมอะไรกันเล่า? เพราะถ้าไม่รู้ ไม่เข้าใจเรื่องนี้แล้วก็เท่ากับไม่รู้เรื่องใดๆ ในพระพุทธศาสนา และไม่มีทางที่จะรับเอาประโยชน์ใดๆ จากพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย
เป็นหน้าที่โดยตรงของพระสงฆ์ทุกนิกาย ทุกสำนัก และทุกรูป ที่จะต้องประกาศธรรมดังกล่าวนี้ว่าพระอัญญาโกณฑัญญะเห็นอะไร? เห็นว่าอย่างไร? เพราะถ้าทำการศึกษาให้รู้และให้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ก็เท่ากับได้รู้ว่าธรรมที่เป็นเป้าหมายสำคัญในการศึกษาอบรมและปฏิบัติในพระพุทธศาสนานั้นคืออะไร? ก็จะได้ชื่อว่าเป็นพระสงฆ์สาวกที่สืบทอดพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ไม่เปลืองข้าวสุกเสียข้าวสารของชาวบ้านเปล่าๆ และไม่ทำให้การบวชเรียนเป็นหมัน หรือไร้ค่า หรือไม่เป็นประโยชน์ใดต่อชาวโลกอันเป็นการผิดไปจากธุระที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ให้ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงส่งพระสาวกรุ่นแรกๆ ออกไปประกาศพระศาสนา
ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรนั้นได้แสดงไว้อย่างชัดเจนว่าการที่พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม จนถึงกับพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุทานนั้นก็คือธรรมที่ว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
ธัมมจักกัปปวัตนสูตรแสดงธรรมที่เห็นไว้เพียงเท่านี้ จึงเป็นหน้าที่ของผู้สอน ผู้อบรม หรือพระสงฆ์ที่จะต้องให้การศึกษา ให้การแนะนำ และให้การศึกษาอบรมว่าอะไรคือธรรมที่เรียกว่า “สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา” ทั้งควรมุ่งเน้นการสอนเรื่องนี้เป็นหลัก เพราะนี่แหละคือแก่นแห่งพุทธธรรม เป็นหลักสำคัญของพระธรรมวินัยที่พระอริยเจ้าทรงสรรเสริญ และมีความสำคัญถึงขนาดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเองทรงมีปีติบังเกิดขึ้นจนเปล่งพระพุทธอุทานว่า “อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ” ถึงสามครั้ง
สิ่งใดเล่าที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา? ก็คือทุกสิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะมีรูปร่างตัวตนหรือไม่ก็ตาม หรือแม้แต่เป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดก็ตาม ถ้ามีธรรมดาเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นแหละเป็นสิ่งที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ผิวดิน ก้อนหิน ต้นไม้ แม่น้ำ ลำธาร ล้วนเป็นสิ่งที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา รวมความก็คือสิ่งทั้งหลายมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
ธัมมจักกัปปวัตนสูตรได้แสดงต่อไปว่า เมื่อสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้ว สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา คือดับไป เปลี่ยนแปลงสภาพไป หมดสิ้นไป สลายไป ไม่สามารถคงที่ คงรูป คงร่างเดิมได้อยู่ต่อไป มีความเปลี่ยนแปลงไป จนกระทั่งสูญสลายไป หรือแตกสลายไป นี่เรียกว่ามีความดับไปเป็นธรรมดา
ดังนั้นสิ่งใดๆก็ตามที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้ว ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดที่จะเปลี่ยนแปลงหรือหยุดยั้งไม่ให้ดับไปได้ ความดับนั้นจึงมีอำนาจที่ไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถเปลี่ยนแปลงผันแปรเป็นอย่างอื่นไปได้
ดังนั้นเมื่อความดับของสรรพสิ่งที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อยู่นอกเหนือการบังคับของใครใด อยู่นอกเหนือการบังคับของสิ่งใดๆ สิ่งนั้นจึงไม่ใช่เป็นของใครที่จะยึดถือเอาเป็นของตนหรือเพื่อตนได้ ดังนั้นความยึดถือใดๆ ที่ยึดถือว่าสิ่งนั้นๆ เป็นตัวตนหรือเป็นของตนก็ดี ก็เป็นความยึดถือที่ผิด
ความยึดถือที่ผิดทั้งหลายนั่นแหละเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ หรือเป็นสมุทัยอริยสัจ ดังนั้นเมื่อผู้ใดเห็นธรรมก็คือเห็นถึงสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมดับไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวตนของตน และไม่ใช่ของตน หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่ใช่ตัวกูของกู ก็จะเป็นการเริ่มต้นของการเห็นธรรม
เพียงแค่เห็นธรรมเท่านั้นก็เท่ากับเห็นเหตุแห่งทุกข์ได้กระจ่าง และเมื่อเห็นธรรมนี้แจ่มแจ้งชัดเจนจนกระทั่งเห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้วก็ย่อมเห็นถึงความไม่เที่ยง เห็นถึงความเป็นทุกข์ และเห็นถึงความไม่ใช่ตัวตน นั่นคือการเห็นพระไตรลักษณ์ในที่สุดนั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี