ตอนที่ผ่านมา เราว่าไปด้วย “บุญเก่า” ของประเทศไทยในอดีตที่ก่อให้เกิดยุคโชติช่วงชัชวาลย์และความสำเร็จอันสูงสุดทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงที่เรียกว่า Thailand Glory ประเทศไทย 3.0
อานิสงส์นี้ ประเทศไทยของเราสามารถก้าวข้ามจากความเป็นประเทศยากจน ปรับเปลี่ยนแนวทางในการพัฒนาประเทศโดยในปี 1986 เป็นปีแรกที่ GDP ภาคอุตสาหกรรมของไทยแซงหน้าภาคเกษตร นั่นคือการเริ่มเปลี่ยนโฉมฉากแห่งการพัฒนาชาติของเราเรื่อยมา
เมื่อภาคอุตสาหกรรมเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อประเทศของเรา แน่นอนภาคแรงงานของไทยก็มีการขยับจากแรงงานเกษตรที่ล้นเกินในอดีต ได้มีการเคลื่อนย้ายถ่ายเทไปสู่นิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก โดยเฉพาะจากภาคอีสานซึ่งต่อมาภูมิภาคนี้ก็ได้กลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมสำคัญหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศในภาคการผลิตมายาวนานหลายทศวรรษ และแน่นอนเลี้ยงดูประชากรในวัยแรงงานกว่า 15 ล้านคน ที่เป็นแรงงานเองและรวมถึงอีกกว่า 25 ล้านคนที่เป็นแรงงานภาคเกษตร พูดง่ายๆ คือ คนที่เป็นพ่อแม่ของแรงงานเหล่านี้ด้วย
แต่แน่นอน ในทางนโยบายและการบริหารประเทศ การสร้างสมดุลระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง อย่างใดอย่างหนึ่งจะก้าวกระโดดหรือถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างหลังไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“อาจารย์กรณ์ สอนธรรมศาสตร์ตอนที่ 3” มาต่อกันด้วยข้อมูลสภาพการณ์ปัจจุบันของไทย
ประเทศไทยของเรา ไม่บวกไม่ลบมาสักพักแล้ว ไม่หวือหวาเท่าไหร่นัก เราประคองตัวทางเศรษฐกิจได้ดีมาก จากความเข้มแข็งของภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคการเงิน ตลาดเงิน ตลาดทุนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งจากช่วงวิกฤติ ต้มยำกุ้ง เพราะไม่ว่าเราจะประสบปัญหาการเมืองหนักหนาเพียงไร ภาคเอกชนจะนำพาเราผ่านอุปสรรคพ้นไปได้เสมอ และถ้าช่วงไหนนโยบายภาครัฐส่งกันอย่างเข้ามือแล้วล่ะก็ การกลับมาเข้าร่องเข้ารอยของไทยเรานั้น อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน
เสถียรภาพทางการเงิน และการคลังของไทยมีความเข้มแข็งมากหน่วยงานอิสระที่ดูแลเรื่องนี้อย่างแบงก์ชาติ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับพ.ร.บ.วินัยการคลังของเราเข้มข้นมากขึ้นเยอะ หลังจากเราผ่านอะไรต่อมิอะไรมามาก
แต่จากสภาพการณ์ปัจจุบันแบบนี้ เราจะอยู่เรื่อยๆ มาเรียงๆ ต่อไปก็ไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจ ปรับตัว และพร้อมเรียนรู้อยู่เสมอ
และตอนที่ 3 ตอนนี้เองครับ มีสิ่งหนึ่งครับที่อาจารย์กรณ์ได้ย้ำกับน้องๆ เอาไว้ในคลาสที่ธรรมศาสตร์ อาจารย์กรณ์พาเด็กๆ ไปรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า Mega Trends หรือเทรนด์ใหญ่ เทรนด์สำคัญระดับโลกที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะต้องเปลี่ยนผ่านจากรุ่นสู่รุ่น เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า “ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” และหากไทยเรารวมไปถึงเยาวชนนักศึกษาปรับตัว รู้เท่าทันได้เร็วเท่าไหร่ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเองมากเท่านั้น
Mega Trend แรกคือ Urbanisation
แยกตามคำศัพท์เลยครับ Urban แปลว่า เมือง Urbaniseก็คือ การทำให้เป็นเมือง มีสภาพความเป็นเมือง ในแง่เศรษฐศาสตร์คือ มีความเป็นคนชั้นกลาง มีระดับรายได้และวิถีชีวิตการใช้จ่ายแต่ละวันอย่างสังคมเมือง
โลกของเราจะมีความเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ลองดูอย่างประเทศไทยเมื่อก่อนมีแค่ “กรุงเทพฯ” ทุกอย่างกระจุกตัวมากๆ ด้วยผลสำเร็จจากนโยบายกระจายอำนาจในสมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย ทำให้ประเทศไทยเริ่มมีความเจริญจากเศรษฐกิจตาม “หัวเมือง” มากขึ้น เรามีโคราชมีเชียงใหม่ มีหาดใหญ่ เรามีขอนแก่น นี่คือผลสำเร็จที่เป็นผลระยะยาวของนโยบายเมื่อตอนนั้น และหากมองไปในอนาคต เมืองที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้นี่แหละครับที่เรียกว่า Urbanisation
แต่ความหมายของอาจารย์กรณ์ที่แสดงให้น้องๆ ธรรมศาสตร์ดูไม่ได้มีเพียงเท่านี้ หากแต่ว่า อาจารย์กรณ์ให้มองลงไปในทั้งโลกจะพบว่าการเป็นสังคมเมืองจะทวีคูณความรุนแรงและความสำคัญมากยิ่งไปอีกโดยเฉพาะในทวีปเอเชียของเรา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศเพื่อนบ้านของเรา
จีน อินเดีย CLMV ซึ่งคือ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
หลับตาคิดก็นึกออกครับว่า เราจะเผชิญกับโอกาสมหาศาลแค่ไหนเพราะผู้คนที่ผ่านการ Urbanised มานั้น จะมาพร้อมกับ “พลังการบริโภคมหาศาล” มาพร้อมกับ “กำลังซื้อ” มาพร้อมกับ “เม็ดเงิน” และนี่ครับ อาจารย์กรณ์ย้ำกับน้องๆ ไปว่า ...นี่คือโอกาสของน้องๆ นักศึกษาคนยุคใหม่!!!
ไทยเราเป็นศูนย์กลางมีความพร้อมในทุกด้าน เป็นสถานที่ปลายทางที่คนต้องการมาเที่ยว
ยกตัวอย่างเอาแค่จีนก็ได้ครับ สมัยอาจารย์กรณ์เป็นรมว.คลังลุ้นแทบตายให้มีนักท่องเที่ยวจีนมาไทย 1 ล้านคน เมื่อปี 2553 ผ่านมา 7 ปีนักท่องเที่ยวจีนมากัน 10 ล้านคนเรียบร้อยแล้ว
ในทางเศรษฐศาสตร์เรื่องแบบนี้ต้องวกกลับไปมองสิ่งที่สำคัญที่สุดกันอีกนิดครับนั่นคือ “การจัดสรรทรัพยากร”
โลกเราตอนนี้มีคนในสังคมเมือง 1,500 ล้านคน ในอีกประมาณ 20-30 ปีข้างหน้า เราจะมีคนในสังคมเมือง จำนวน 4,000 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 2,500 ล้านคนในช่วงไม่กี่สิบปี
บ้านเป็นหลังๆ จะต้องเพิ่มขึ้นอีก 1 พันล้านหลัง รถยนต์จะถูกผลิตขึ้นอีก 1 พันล้านคัน และอย่างที่บอก คนมีกำลังซื้อเหล่านี้จะกลายเป็นนักท่องเที่ยวอีกกว่า 2,500 ล้านคน !
คำถามชวนคิด.. เอาไงดี!?
(คุณผู้อ่านลองหยุดตรงนี้ครู่หนึ่งแล้ว คิดดูครับว่า...เอาไงดี? ไทยเราจะเอาไงดี?) เปิดรับหมดเลยมั้ย พร้อมแล้วยัง ต้องเตรียมพร้อมอะไรอีก พวกเขาจะมาทำอะไรในบ้านเราบ้าง สร้างบ้าน ซื้อรถใหม่กันขนาดนั้นเปลืองเหล็ก เปลืองป่า เปลืองดิน เปลืองทรัพยากรอีกมากน้อยแค่ไหน
อาจารย์กรณ์ ตอบทันควันครับว่า เรื่องนี้ต้องแก้ด้วยภาพนี้ !
More with Less ที่เป็นปรัชญาเศรษฐศาสตร์สอดคล้องกับหลักคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9
หัวใจของการแก้ปัญหาเรื่องการจัดสรรทรัพยากรที่สำคัญที่สุดคือ More with Less คือ จะทำอย่างไรให้ทุกการผลิต ทุกการใช้ทรัพยากรนั้น ใช้น้อยเพื่อให้ได้มาก หรือใช้ให้คุ้มค่าที่สุด ภาษาโลกปัจจุบันก็คือ “ประสิทธิภาพ” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ประสิทธิผล” เมื่อทำแบบนี้ไปจนเป็นระบบ เป็นวิถีแล้ว “ความยั่งยืน” ก็จะตามมา
สอดคล้องกับ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ พอกิน พอใช้พอประมาณ มีเหตุผล คิดก่อนเสมอว่าจะใช้อะไร ทำอะไร และเมื่อคิดจะใช้แล้วก็ต้องใช้อย่างมีสติเพื่อให้ก่อประโยชน์สูงสุด
คำตอบที่ว่านั้นคือ การวิจัยพัฒนาให้ได้มาด้วย “เทคโนโลยี” แต่ถ้าเราเป็นประเทศที่ไม่ได้เก่งด้านการผลิตเทคโนโลยี เราก็ต้องยอมรับและปรับใช้เป็น Users ที่ชาญฉลาด
ตอนหน้า ตอนที่ 4 เราจะมาต่อกันกับ Mega Trend ที่ 2 และบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทำให้หลักการ More with Less สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โปรดติดตามครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี