ปัญหาสังคมไทยกับการซื้อขายเสียงเพื่อหวังได้คะแนนการเมือง เป็นเรื่องที่พูดกันมานานแสนนาน แต่ไม่ใช่เพียงแค่พูดเท่านั้น เพราะมีข้อเท็จจริงปรากฏให้เห็นเป็นประจำ ตั้งแต่หลายทศวรรษที่ผ่านมา จวบจนยุคปัจจุบัน
ในสมัยก่อน เราเคยพบการซื้อเสียงด้วยการให้รองเท้าแตะไปก่อนข้างหนึ่ง แล้วค่อยไปรับอีกข้างหนึ่ง หากผู้ซื้อเสียงได้รับชัยชนะทางการเมือง หรือได้เห็นข่าวการแจกปลาทูเค็ม เพื่อแลกกับคะแนนเสียง ทั้งนี้ยังไม่ต้องนับถือเรื่องการใช้เงินหลวงเพื่อขุดบ่อน้ำ สร้างศาลาพักร้อนริมทาง สร้างถนน สร้างซุ้มประตูวัด สร้างศาลาการเปรียญ ฯลฯ เพื่อแลกกับคะแนนเสียงจากชาวบ้าน
จากวันก่อนถึงวันนี้ รูปแบบการซื้อขายเสียงในสังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย จนถึงยุคการซื้อตรงรายหัวแบบ MLM โดยหัวคะแนนหนึ่งคนคุมคะแนนเสียง 10 คน และแต่ละคนก็คุมคะแนนเสียงต่อๆ กันไปอีกคนละ 10 เสียง โดยทำเป็นลำดับเป็นชั้นๆ กันไป เพื่อสะดวกในการตรวจสอบว่าใครลงคะแนนเสียงให้หรือไม่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่นับรวมถึงการโกงการนับคะแนนแบบยกหน่วยเลือกตั้ง การใช้บัตรผีไพ่ไฟ หรือแม้กระทั่งการใช้นักเลงอันธพาลบุกเข้าไปในหน่วยเลือกตั้งแล้วเทบัตรเลือกตั้งที่เตรียมไว้แล้ว ซึ่งบรรจุอยู่ในถุงทะเล ลงในหีบใส่บัตรลงคะแนน
เรื่องต่างๆ นานาที่เล่าให้ฟังนี้ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจริงบนสังคมไทย ซึ่งหากถามว่าคนไทยรู้ไหม ทหาร ตำรวจ ข้าราชการรู้ไหม กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยรู้ไหม คำตอบคือ ไม่มีทางที่จะไม่รู้ เพียงแต่จะยอมรับความจริงหรือไม่ ก็เท่านั้นเอง
การโกงการเลือกตั้งได้เปลี่ยนโฉมไปเรื่อยๆ จนถึงยุค ทุจริตเชิงนโยบาย ที่ใช้อำนาจรัฐโดยไม่คำนึงถึงความผิดความถูกใดๆ เพราะคิดเพียงแค่ขอให้ชนะการเลือกตั้งให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่
เมื่อนักการเมืองโกงการเลือกตั้งได้ ทหารก็บอกว่า ฉันก็ทำรัฐประหารได้ ทั้งๆ ที่ก่อนจะทำรัฐประหารนั้น ทหารก็อยู่ใต้อำนาจของนักการเมืองจอมโกงมาก่อน แถมทหารบางรายยังช่วยสนับสนุนการโกงของนักการเมืองด้วยซ้ำไป แต่เมื่อถึงคราว ทหารก็อ้างความจำเป็นต่างๆ นานาสารพัด แล้วก็ทำรัฐประหาร
แต่สุดแสนจะอัศจรรย์ เพราะเมื่อทหารทำรัฐประหารแล้ว ก็ดันอ้างว่า ตนเองรักประชาธิปไตยเสียเหลือเกิน น่าสมเพชที่กล้าอ้างได้เช่นนั้น แต่ก็เห็นอ้างกันโครมๆ เป็นประจำเสมอมา
เมื่อได้อำนาจรัฐมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือนักการเมืองก็ไม่ต่างกัน คือทุกฝ่ายก็จะอวดอ้างสารพัดว่า ตนเองนั้นทำดีที่สุดแล้ว ยอมทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ และประชาชน แต่ยิ่งอ้าง ประชาชนและประเทศชาติก็ยิ่งเสื่อมทรุด แต่คนอ้างกลับอ้วนท้วนสมบูรณ์ และอิ่มหมีพีมันกันทุกรายไป
นักการเมืองบางกลุ่มบางจำพวกเมื่อได้อำนาจรัฐแล้ว ก็ยกเอาเรื่องรัฐสวัสดิการมาเป็นเครื่องมือในการจูงใจ (หรืออาจจะเรียกให้ตรงว่าหลอกลวงประชาชน) บ้างก็อ้างเรื่องประชานิยม โดยเพ้อว่า เพราะเมื่อประชานิยมแล้ว ก็หมายความว่าจะได้รับความนิยมจากประชาชนในที่สุด ซึ่งก็หมายถึงจะได้อยู่ในอำนาจรัฐไปนานแสนนาน
ครั้นมาถึงยุคทหารครองเมืองคำว่าประชานิยมก็ถูกเลิกใช้ไป แล้วหันไปใช้คำว่า ประชารัฐ แต่เมื่อดูรูปแบบและวิธีการแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่างไปจากประชานิยม เพียงแต่ยังดีที่ว่าไม่เน้นการโกหกประชาชนแบบตรงๆ ด้วยการบอกว่าจะให้เงินเดือน 15,000 บาท หรือค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท หรือขายข้าวเปลือกทุกเมล็ดได้ราคาเกวียนละ 15,000 บาท แม้กระทั่งโกหกพกลมตอหลดตอแหลอย่างหน้าไม่อายว่า จะทำให้ประเทศไทยไม่มีคนจนภายใน 3-4 ปี แต่มาล่าสุดหนักข้อยิ่งกว่าเดิม เพราะมีนักการเมืองรายหนึ่งที่อยู่ในรัฐบาลทหารกล้าโกหกอย่างไร้ยางอายว่า จะให้คนจนหมดไปจากประเทศไทยในปีหน้า
โอย! ช่างกล้าโกหกได้ถึงเพียงนี้ ช่างกล้าจริงๆ ส่วนหัวหน้ารัฐบาลก็ยังอุตส่าห์ยินยอมให้นักการเมืองรายนั้นโกหกประชาชนได้ แบบนี้ไม่ทราบว่าสมรู้ร่วมคิดกันโกหกตอแหลประชาชนหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะดูอย่างไรเสีย ก็ไม่มีวันที่คนจนจะหมดสิ้นไปจากประเทศไทยภายในปีหน้า ยกเว้นจับคนจนไปฆ่าให้หมด
ผู้นำของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างญี่ปุ่น และเยอรมนี ยังไม่กล้าโกหกประชาชนมากมายถึงเพียงนี้เลย แต่สำหรับประเทศสารขัณฑ์ประเทศหนึ่งที่เราและคุณอาศัยอยู่นี้ ช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน เพราะผู้นำกล้าปล่อยให้นักการเมืองโกหกประชาชนอย่างโจ่งแจ้ง ไร้ยางอาย หรือเขาคิดว่า จะพูดจะจาอย่างไรก็ได้ เพราะคนไทยไม่มีสมอง จะโกหกพกลมอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรกับเขาได้
แหม! เขาช่างกล้าเสียจริงๆ แต่ทว่า เขาก็โกหกเช่นนี้มาโดยตลอด แต่ก็ยังสามารถอยู่ในวงจรแห่งอำนาจรัฐได้เสมอมา ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า โกหกแล้วได้อำนาจรัฐ เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องโกหกต่อไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าประชาชนจะไม่ยอมให้เขาโกหกอีกต่อไป
คนจอมโกหกเหล่านั้น อาจไม่เข้าใจว่า รัฐสวัสดิการ (welfare state) ที่แท้จริงคืออะไร แต่เขาคงเข้าใจว่า การแจกเงิน แจกของ เป็นครั้งๆ คราวๆ ให้กับประชาชน คือการเป็นรัฐสวัสดิการ
Asa Briggs นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ชาวอังกฤษ (7 พฤษภาคม 1921-15 มีนาคม 2016) ระบุว่า รัฐสวัสดิการหมายถึงรัฐหรือประเทศที่จัดระบบสวัสดิการสังคมให้กับประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึงถ้วนหน้า และเท่าเทียบกันอย่างแท้จริง (welfare for all) โดยการให้สวัสดิการนั้นเกิดขึ้นมาจากรัฐทั้งสิ้น ซึ่งได้แก่การประกันรายได้ขั้นต่ำของประชาชนทุกคนโดยรัฐ การสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชนทุกคน โดยให้มีหลักประกันทางรายได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ในสภาวะต่างๆ และการให้สวัสดิการด้านการบริการสังคมกับประชาชนทุกคน ทุกครัวเรือนโดยเท่าเทียม ไม่เลือกกลุ่มคน ไม่เลือกชนชั้น และไม่มีข้อกำหนดทางสถานภาพใดๆ ซึ่งนอกจากให้อย่างเสมอภาคกันแล้ว ยังต้องให้บริการที่มีมาตรฐานที่ดีที่สุดด้วย
แน่นอนว่ารัฐสวัสดิการจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ซึ่งก็หมายความว่ารัฐต้องมีรายได้มากพอกับการจัดสวัสดิการและให้บริการที่ดีได้มาตรฐานกับประชาชน แต่หากรัฐไม่มีรายได้ที่เพียงพอแล้ว ก็หมายความว่าการจัดสวัสดิการที่ดีให้กับประชาชนก็จะเกิดขึ้นได้ยากมาก หรือเกิดขึ้นไม่ได้เลย
แต่สำหรับประเทศสารขัณฑ์แบบบางประเทศที่เราและท่านทราบกันเป็นอย่างดีนั้น เราและท่านจะพบว่า รัฐบาลทุกชุดพยายามสร้างภาพด้วยการเอาใจประชาชนโดยการโกหกต่างๆ นานา ว่าจะให้โน่นนี่นั่นกับประชาชน และโกหกว่าจะให้ไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่เคยบอกประชาชนว่าประชาชนต้องมีภาระหน้าที่ในการช่วยเหลือรัฐอย่างไรบ้าง เพียงแต่บอกว่า ขอให้เลือกตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แล้วประชาชนก็จะได้ตามที่ต้องการ
รัฐบาลที่ดีต้องไม่โกหกประชาชน และต้องไม่ให้คำสัญญาลวงโลก หรือสัญญาลมๆ แล้งๆ แบบพูดไปวันๆ โดยหาสาระมิได้ รัฐบาลที่ดีไม่ใช่รัฐบาลที่ต้องเอาใจประชาชนด้วยการแจกเงินให้ประชาชน แต่รัฐบาลที่ดีคือรัฐบาลที่ต้องจริงใจกับประชาชน พูดความจริงทุกเรื่องกับประชาชน เลือกสรรคนดีซื่อสัตย์สุจริต และเลือกคนมีความสามารถเข้าไปทำหน้าที่บริหารราชการในกระทรวงทบวงและกรมต่างๆ โดยไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนเป็นพวกพ้อง แต่เน้นในหลักคุณธรรม หลักความสามารถโดยแท้จริง
สำหรับรัฐบาลที่หารายได้เข้าประเทศไม่ได้มากเพียงพอ แต่ยังโกหกประชาชนด้วยการแจกโน่นนี่นั่นให้ประชาชนตลอดเวลา เพราะต้องการคะแนนนิยมทางการเมืองจากประชาชน รัฐบาลแบบนี้เป็นรัฐบาลที่เข้ามาเพื่อทำลายล้างความสุขสงบที่ยั่งยืนของประเทศชาติและประชาชนโดยแท้จริง เพราะเข้ามาก่อหนี้ก่อสินจำนวนมากมายมหาศาลให้กับประชาชนในอนาคต เพราะรัฐบาลเลวๆ พรรค์อย่างนี้ เข้ามากอบโกยโกงกินแล้วก็ไป แต่ประชาชนทั้งแผ่นดินกลับต้องรับภาระหนี้สินมหาศาลที่รัฐบาลเลวๆ ได้ก่อเอาไว้
ขอถามใจประชาชนว่า ประชาชนต้องการรับภาระที่รัฐบาลเลวๆ ทิ้งไว้ให้ประชาชน ใช่หรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี