การเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตราโครงสร้างใหม่ ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาแล้ว โดยธุรกิจบุหรี่นอกได้งัดกลยุทธ์การตลาดออกมาต่อสู้ กระทั่งได้ส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น ส่วนโรงงานยาสูบถึงกับดิ้นเร่า เพราะสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับบุหรี่นอก
เกิดปรากฏการณ์ที่ราคาขายปลีกของบุหรี่นอก บางรุ่น บางยี่ห้อ ราคาถูกกว่าบุหรี่ของโรงงานยาสูบ
1. ผมได้เคยแสดงจุดยืนข้อคิดเห็นไว้หลายครั้ง ว่าสนับสนุนการเก็บภาษีสรรพสามิต หรือภาษีบาป ทั้งจากบุหรี่และสุรา เพื่อควบคุมการบริโภค นำรายได้เข้าสู่รัฐ เพราะทั้งสองชนิดเป็นสินค้าที่ทำลายสุขภาพของประชาชน และทำให้ส่วนรวมมีภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขสังคมเพิ่มขึ้น สมควรควบคุมการบริโภค
ในกรณีบุหรี่ การที่กระทรวงการคลังเปลี่ยนวิธีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต โดยเก็บจากราคาขายปลีก แทนราคาหน้าโรงงานหรือราคานำเข้า ผมก็เห็นด้วย สนับสนุน เพราะถ้าไม่เช่นนั้น บรรดาบุหรี่นอกก็อาจจะใช้วิธีสำแดงราคาต่ำกว่าความจริง เพราะประหยัดภาษี
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังใช้วิธีจัดเก็บทั้งแบบมูลค่าและปริมาณผสมกัน กล่าวคือ จัดเก็บตามปริมาณ ภาษีซองละ 24 บาท และจัดเก็บตามมูลค่า หากราคาขายต่ำกว่าซองละ 60 บาท จะเสียภาษี 20% แต่ถ้าราคาขายเกิน 60 บาทต่อซอง จะเสีย 40%
2. สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการเก็บภาษีสรรพสามิตแบบใหม่ คือ อิทธิฤทธิ์ของภาษีสรรพสามิต
ปรากฏว่า บุหรี่นอกบางรายได้ใช้กลยุทธ์ทางการตลาด ด้วยการลดราคาขายปลีกสำหรับบุหรี่บางรุ่น บางแบบ บางยี่ห้อของตนเอง เหลือ 60 บาท เพื่อเสียภาษีในอัตรา 20%
ขณะที่บุหรี่ของโรงงานยาสูบ เช่น
สายฝน กรองทิพย์ ฯลฯ ราคาบวกภาษีสูงถึง 95 บาท
มีผลทำให้ผู้บริโภคบุหรี่หันมาสูบบุหรี่นอกราคาถูกมากขึ้น
3. ผู้ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือ โรงงานยาสูบ ออกมาร้องเรียนกระทรวงการคลังให้ช่วยเยียวยา
สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ ออกแถลงการณ์ขอความเป็นธรรมจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ระบุว่า มีผลกระทบกับยอดการจำหน่ายบุหรี่ของโรงงานยาสูบในปีงบประมาณ 2561 ลดลง
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 41% โดยมีการจัดเก็บภาษีทั้งด้านปริมาณและด้านมูลค่ารวมกัน ด้านมูลค่ากำหนดให้ใช้เกณฑ์
“ราคาขายปลีกแนะนำ” แต่บทบัญญัติดังกล่าวไม่รัดกุม ทำให้บริษัทบุหรี่ต่างประเทศตัดสินใจลดราคาลงมาขัดกับเจตนารมณ์และกลไกตลาด ในอนาคตจะส่งผลให้ธุรกิจบุหรี่ของรัฐอย่างโรงงานยาสูบได้รับผลกระทบ ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของโรงงานยาสูบลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีข้างหน้า
คาดว่าในปีงบประมาณ 2561 โรงงานยาสูบจะประสบภาวะขาดทุนประมาณ 1,575 ล้านบาท
ในเอกสารยังเรียกร้องให้มีการชดเชยเยียวยาแก่โรงงานยาสูบ รวมถึงอาจจะนำเรื่องไปฟ้องศาลปกครองต่อไปด้วย
4.กระทรวงการคลังคงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาอันสืบเนื่องมาจากอิทธิฤทธิ์ของภาษีสรรพสามิตครั้งนี้อย่างไร
เจตนาของการเก็บภาษีสรรพสามิต เพื่อควบคุมการบริโภคบุหรี่ หรือลดการบริโภคบุหรี่ และเพื่อให้รัฐได้รับเงินเข้าแผ่นดินมากขึ้น แต่ถ้าผลออกมาไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ ก็คงต้องหาทางแก้ไข ยิ่งถ้าผู้บริโภคหันไปบริโภคบุหรี่ที่ราคาถูกลง คุณภาพต่ำลง ยิ่งเกิดผลตรงข้าม
ที่ไม่พึงประสงค์
5.แนวทางในการแก้ปัญหา
หากตัดสินใจเก็บภาษีแบบที่เป็นอยู่ต่อไป โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไร แล้วเลือกเอาเงินภาษีของแผ่นดินเข้าไปอุ้มโรงงานยาสูบแทน แนวทางนี้น่าจะยิ่งพาเข้ารกเข้าพง เพราะกลายเป็นไปเสียเงินแผ่นดินไปอุ้มโรงงานยาสูบ ซึ่งเป็นกิจการที่ทำลายสุขภาพสังคม
ขณะที่บุหรี่นอกราคาถูกก็ยังขายกันเกลื่อน คนบริโภคบุหรี่นอกราคาถูกต่อไป ผมจึงไม่เห็นด้วยกับหนทางนี้
ขอเสนอแนะว่า ให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงสร้างภาษีบุหรี่
5.1 ยังจัดเก็บแบบผสม ทั้งจากปริมาณและมูลค่า ควรต้องเพิ่มอัตราภาษีที่จัดเก็บด้านมูลค่าให้เป็นอัตราเดียวกันหมด ไม่ต้องแบ่งแยกว่า ราคาต่ำกว่า 60 บาทต่อซองจะเสียแค่ 20% เพราะเป็นการส่งสัญญาณให้คุณต่อบุหรี่ราคาถูก คุณภาพต่ำ เข้ามาตีตลาด ซึ่งไม่พึงประสงค์
อาจจะเก็บอัตราเดียวไปเลยก็ยังได้ กี่เปอร์เซ็นต์ของราคาขายปลีกแนะนำ เช่น 40% หรือมากกว่านั้น
แบบนี้ จะไม่มีการใช้กลยุทธ์การตลาดด้านราคาเข้ามาตีตลาดบุหรี่
5.2 หากยกเลิกการจัดเก็บแบบผสม หันมาจัดเก็บภาษีตามปริมาณอย่างเดียวไปเลย โดยกำหนดไปเลยว่าจะเก็บภาษีจากบุหรี่ซองละกี่บาท มวนละกี่บาท ไม่ว่าจะบุหรี่ที่มีราคาขายปลีกถูกหรือแพงอย่างไร โดยอาจขึ้นอัตราภาษีมากกว่าเดิมก็ได้
ถ้าแบบนี้ โรงงานยาสูบก็จะต้องแข่งขันกับบุหรี่นอกอย่างเป็นธรรมชัดเจนขึ้น ก็จะต้องมีการปรับประสิทธิภาพการผลิต ควบคุมต้นทุนการผลิต
6.ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเลือกแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร สิ่งที่กระทรวงการคลังควรจะเร่งดำเนินการไปควบคู่กัน คือ การอุดช่องโหว่ ติดตามกำกับดูแลมิให้เกิดการรั่วไหลของเงินภาษีอากร
กระทรวงการคลังควรทำบาร์โค้ด (หรือคิวอาร์โค้ด) สำหรับสินค้าทุกชิ้น บุหรี่ทุกซอง หรือทุกขวดสำหรับสุรา ที่ผ่านการเสียภาษีสรรพสามิต ซึ่งทำให้สามารถตรวจสอบ แยกแยะได้อย่างมีประสิทธิภาพจากสินค้าหนีภาษี
ในต่างประเทศ เอาจริงกับการตรวจสอบกำกับติดตามดูแลเรื่องนี้ ภายหลังการตรวจสอบ ตรวจจับจริงจัง ปรากฏว่า รัฐได้รายได้สูงขึ้นกว่าต้นทุนการทำบาร์โค้ดหลายสิบเท่า
7.อีกเรื่องที่เป็นข่าวใหญ่ และจริงๆ ก็เป็นอิทธิฤทธิ์จากภาษีสรรพสามิตเช่นกัน
นั่นคือ กรณีอัยการสูงสุดร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ศาลเดินหน้ากระบวนการพิจารณาคดีแปลงสัญญาโทรมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิตต่อไป หลังจากที่ก่อนหน้านี้ จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว เนื่องจากจำเลย คือ ทักษิณ ชินวัตร หลบหนี
คดีนี้ เกิดจากพฤติกรรมผู้มีอำนาจที่ใช้ภาษีสรรพสามิตไม่ตรงไปตรงมา เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตนเอง
ยังจำได้ว่า ตอนที่ทักษิณเข้ามาเป็นนายกฯ ยังคงเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคม เพียงแต่ซุกหุ้นไว้ในชื่อบุคคลอื่น แล้วได้ใช้อำนาจรัฐไปออกมาตรการ นโยบาย ดำเนินการเอื้อประโยชน์แก่กิจการโทรคมนาคมของตนเอง ทำให้รัฐเสียหายจำนวนมาก
เริ่มตั้งแต่ไปลดส่วนแบ่งรายได้ กิจการมือถือแบบพรีเพด ที่ตามสัญญาเดิมเอไอเอสจะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้แก่หน่วยงานของรัฐ คือ ทศท. เพิ่มเป็นขั้นบันได โดยเฉพาะในช่วงปีท้ายๆ สัญญา ฐานลูกค้ามหาศาลกว่าทุกช่วงปี สัญญาเดิมกำหนดให้จ่ายสูงสุดถึง 35% แต่ยุครัฐบาลทักษิณ เมื่อปี 2544 กลับแก้ให้เอไอเอสจ่ายในอัตราคงที่ 20% ตลอดสัญญา เพราะฉะนั้น ช่วงปีหลังๆ ท้ายสัญญา รัฐจึงอดส่วนแบ่งรายได้ เพราะแก้สัญญาโดยมิชอบดังกล่าว
กรณีที่เกี่ยวกับภาษีสรรพสามิต ก็คือ การออก พ.ร.ก.สรรพสามิต ซึ่งไม่เคยเก็บโทรคมนาคมมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น มือถือ อินเตอร์เนต ดาวเทียม ฯลฯ เพราะถือเป็นกิจการที่จำเป็น ไม่ใช่สินค้าบาป แต่ในยุครัฐบาลทักษิณได้สอดไส้เข้ามาในประกาศเก็บภาษีสรรพสามิต ด้วยการออกเป็น พ.ร.ก. โดยมีอาบอบนวดนำหน้า และมีภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมพ่วงมาด้วย แต่ใช้วิธีเอื้อประโยชน์แก่บริษัทตนเอง
โดยรีบร้อนออก พ.ร.ก. ในขณะนั้น เพราะเร่งรีบ เกรงว่าจะมี กทช. (คือ กสทช. ในปัจจุบัน) จะดำเนินการเปิดเสรีโทรคมนาคมเพื่อให้มีรายใหม่เข้ามาแข่งขัน การดำเนินการเก็บภาษีสรรพสามิตดังกล่าว จึงกำหนดให้สำหรับเอไอเอสที่ต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาเดิมอยู่แล้ว สามารถเอาภาษีสรรพสามิตไปหักลดออกจากส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายอยู่เดิม ผลกลายเป็นว่า ทศท.เป็นผู้จ่ายภาษีแทนเอไอเอสไปโดยปริยาย ทศท.จึงได้รับความเสียหายมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
ทั้งหมด เพื่อจะกีดกันรายใหม่ที่จะเข้ามาแข่งขัน เพราะถ้ามีรายใหม่เข้ามา รายใหม่ต้องเสียภาษีเต็มที่ ไม่มีส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาเดิมมาหัก ส่วนเอไอเอสของทักษิณสามารถหักจากส่วนที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว
คดีนี้ อัยการสูงสุดยื่นฟ้องทักษิณเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาฯ ไว้นานหลายปีแล้ว แต่ทักษิณหนีคดี ไม่ยอมเข้ามาต่อสู้ ศาลฯ จึงจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว รอให้ได้ตัวจำเลยมาขึ้นศาล
เมื่อกฎหมายวิธีพิจารณาคดีฯ ปัจจุบัน เปิดทางให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ หากออกหมายจับแล้ว จำเลยไม่ยอมมาศาล สมัครใจหนีคดีไปเอง อัยการสูงสุดจึงร้องขอให้ศาลเดินหน้าคดีที่คาในอยู่สารบบต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อความยุติธรรมส่วนรวมอย่างยิ่ง เพราะมิฉะนั้น นักการเมืองที่ต้องคดี ก็ใช้วิธีหนีศาล หนีคดี ไปเสวยสุขอยู่ต่างประเทศ เพื่อปกปิดหรือตัดตอนคดี มิให้เดินหน้าพิสูจน์ความจริงกันต่อไปได้ อัยการสูงสุดดำเนินการได้อย่างถูกต้องแล้ว
ขณะนี้ อัยการยังได้ดำเนินการในลักษณะนี้กับทุกคดี กับจำเลยทุกคนที่อยู่ในข่ายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น คดีระบายข้าวจีทูจี ที่มีหมอโด่งและนายสุธีหนีคดีไป ก็กำลังจะร้องต่อศาลเพื่อให้เดินหน้าคดีต่อเช่นกัน
รวมถึงในอนาคต เมื่อมีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถูกฟ้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากจำเลยหนีคดีไป อัยการสูงสุดหรือ ป.ป.ช. ก็ย่อมจะต้องทำแบบเดียวกันนี้ทุกรายไม่เลือกปฏิบัติ มิฉะนั้น ก็จะถูกเล่นงานเสียเอง
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี