ในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย อาจจัดได้ว่าได้มีการปฏิวัติใน 4 ประเทศที่มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมโลก อันได้แก่
1.การปฏิวัติของชาวยุโรปอพยพในดินแดนอเมริกาโลกใหม่ ให้หลุดพ้นจากการปกครองของเจ้าอาณานิคมอังกฤษในสถานะกึ่งเมืองขึ้นมาเป็นสาธารณรัฐและสังคมเสรีประชาธิปไตย (ค.ศ.1776 หรือพ.ศ.2319)
2.การปฏิวัติของชาวฝรั่งเศส ที่ก่อให้เกิดการล้มเลิก ล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของราชอาณาจักรฝรั่งเศสมาเป็นสาธารณรัฐ โดยยึดเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเป็นภราดรภาพของมวลมนุษย์เป็นหลักในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน ซึ่งก็เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยเช่นกัน (ค.ศ. 1789 หรือพ.ศ.2332)
3.การปฏิวัติของรัสเซีย ที่ล้มล้างและล้มเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบพระราชาซาร์ของราชอาณาจักรรัสเซีย มาเป็นสาธารณรัฐแบบโซเวียต ภายใต้อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1917 หรือพ.ศ. 2460
4.การปฏิวัติของจีนปี ค.ศ. 1911 หรือพ.ศ.2454 ที่ล้มล้าง ล้มเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของจักรพรรดิจีนมาเป็นสาธารณรัฐ แล้วมีสงครามกลางเมืองหลังการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของผู้นำการปฏิวัติ ซุน ยัด เซ็น จนเกิดสงครามกลางเมืองหลายกลุ่มหลายฝ่าย จนในที่สุดเหลือกลุ่มพรรคทหารก๊กมินตั๋งกับกลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งฝ่ายคอมมิวนิสต์มีชัยชนะในที่สุด ครอบครองจีนทั้งประเทศ เป็นสาธารณรัฐแห่งประชาชนจีน ส่วนฝ่ายก๊กมินตั๋งหนีไปตั้งมั่นเป็นสาธารณรัฐจีนจนทุกวันนี้
ในกรณีของสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส เป็นแบบอย่างของสังคมประชาธิปไตยที่สิทธิเสรีภาพ และการเคารพกฎหมายเป็นตัวตั้ง ส่วนรัสเซียภายหลังการล่มสลายของระบอบโซเวียตคอมมิวนิสต์ ก็มุ่งมั่นเดินต่อไปในทิศทางของสังคมเสรีประชาธิปไตย ซึ่งได้มีการริเริ่มปลูกฝัง ปูทางไว้บ้างแล้วในช่วงสมัยการนำพาของนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ ภายใต้สโลแกน“เปิดกว้าง”(Glasnost)และ“ปรับโครงสร้าง”(Perestroika) ซึ่งมิได้ยึดพรรคคอมมิวนิสต์เป็นแกน ในขณะเดียวกันบรรดารัฐต่างๆภายใต้สหภาพโซเวียตในขณะนั้นก็เริ่มคิดแยกตัว เริ่มไม่รับคำสั่ง และไม่รับอำนาจของรัฐบาลกลางที่กรุงมอสโก และตระหนักว่า พรรคอ่อนแอลงเป็นลำดับ จึงไม่ต้องเกรงกลัวกันอีกต่อไป
รัสเซียจึงตกเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านจากสหภาพโซเวียตรัฐเดียวไปเป็น 16 รัฐ หรือประเทศอิสระจากพรรคเดียวควบคุม เป็นหลายๆพรรค หลายๆ ความคิด และอุดมการณ์ อีกทั้งการเปลี่ยนกฎหมายต่างๆ รวมทั้งการเตรียมบุคลากรเพื่อให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่เสรี สังคมรัสเซียจึงเต็มไปด้วยความสับสน วุ่นวาย และถูกซ้ำเติมด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา โดยเฉพาะพวกแกนนำของพรรค และพวกหน่วยราชการที่ข้องเกี่ยวกับการเงินประเทศ ที่มีข้อมูลและอยู่ใกล้ผลประโยชน์หรือทรัพย์สินต่างๆ ของรัสเซีย
ช่วงประมาณ 15 ปี แรกแห่งการล่มสลายของสหภาพโซเวียตรัสเซีย จึงจัดว่าเป็นประเทศล้มเหลว จนกระทั่ง นายวลาดีมีร์ ปูติน ได้ขึ้นมาบริหารประเทศต่อจาก นายบอริส เยลต์ซิน (ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็น นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย)
โดยเฉพาะเมื่อนายปูติน เติบโตมาจากหน่วยราชการลับ เคจีบี ก็เลยสามารถต่อสู้ได้ทั้งศึกนอกศึกใน เนื่องจากรู้ความเป็นไปในรัสเซียเป็นอย่างดี อีกทั้งยังเคยไปประจำการที่เยอรมันตะวันออก และฉะนั้นจึงข้องแวะกับความเป็นไปในโลกกว้างอย่างพอควร
เมื่อนายปูตินขึ้นครองอำนาจ เริ่มดำเนินการขจัดการทุจริต การยักยอกทรัพย์สมบัติและทรัพยากรของชาติอย่างเร่งด่วน จนประสบผลสำเร็จ เป็นที่ชื่นชมของผู้คน เพราะประชาชนได้รับผลพลอยได้จากการที่รัฐมีงบประมาณดูแลทุกข์สุขของสังคมประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็นมาช้านาน
ในการนี้ โลกได้คาดหวังว่ารัสเซียจะเดินหน้ายึดเอาสังคมเสรีประชาธิปไตยเป็นจุดหมาย หลังจากตกอยู่กับระบอบซาร์มาร่วม 1,000 ปี และอยู่กับระบอบโซเวียตคอมมิวนิสต์มา 70 กว่าปี หรือนัยหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า คนรัสเซียนั้นไม่เคยมี หรือไม่เคยได้สัมผัสเสรีภาพเลย
แต่อย่างไรก็ตาม ปูติน มีแนวคิดพื้นฐานอยู่ว่า ต้องจัดบ้านให้เรียบร้อย มั่นคง และรัสเซียต้องเป็นใหญ่ในโลกกว้าง อันเนื่องมาจากความผิดหวังในอดีตที่โซเวียตรัสเซียล่มสลาย และถูกฝ่ายตะวันตกรุกคืบผ่านองค์การนาโต และสหภาพยุโรป
ณ วันนี้ ชาวรัสเซียก็เลยต้องยอมแลกสิทธิเสรีภาพบางส่วน กับศักดิ์ศรีของชาวรัสเซีย และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายใต้ลัทธิผู้นำนำพาของนายปูติน
ดังนั้น เลยกล่าวได้โดยสรุปว่า รัสเซียจาก 100 ปีของซาร์ผ่านไป ก็เป็น 74 ปีของระบบโหดแห่งคอมมิวนิสต์ และ 15 ปีโดยประมาณของความยุ่งเหยิงทางการเมือง ก่อนกลายมาเป็น 10 ปีเศษให้หลังภายใต้ระบอบผู้นำเข้มแข็งนำพา(Strong Man) ซึ่งยังมีความชอบธรรม เพราะมาจากการเลือกตั้ง
ความผิดพลาดของพระจักรพรรดิซาร์นิโคลัสที่ III คือการที่ใจพระองค์ไม่ทรงเปิดกว้าง และมีความเชื่อว่าตำแหน่งผู้นำได้มาเพราะพระเจ้าประทานให้ ฉะนั้น ผู้คนต้องเคารพเชื่อฟัง จึงไม่ทันโลก ทันเหตุการณ์
ส่วนระบบพรรคเดียวตั้งแต่เลนินและสตาลิน ก็เป็นระบบแห่งการสร้างความกลัว ควบคุม กดหัวคนแล้วใช้จ่ายไปในทิศทางการสร้างแสนยานุภาพและทิศทางสนับสนุนการสู้รบในต่างแดน เพื่อชิงความเป็นใหญ่กับโลกเสรีนำโดยสหรัฐอเมริกา แทนที่จะนำมาพัฒนาคุณภาพชีวิต ขีดความสามารถในการทำมาค้าขายด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยี ขายแค่อาวุธรุนแรง ทรัพยากรธรรมชาติเพียงอย่างเดียว
หลังจากนั้นนายนีกีตา ครุชชอฟก็พยายามเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ก็ถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมต่อต้าน ขณะที่นายกอร์บาชอฟแม้จะพยายามมากกว่าคนอื่น แต่ก็ถูกขัดแข้งขัดขาจากฝ่ายกองทัพและพวกหัวอนุรักษ์นิยมไม่ก้าวหน้า นอกจากนั้นยังตัดสินใจผิดที่ไปลดความสำคัญของพรรคในการเป็นกลไกขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ส่วนนายบอริส เยลต์ซิน แม้จะมีลักษณะเป็นผู้นำ เป็นนักต่อสู้ แต่ก็ถูกพิษสุราเข้ามาครอบงำ ทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คนรัสเซียรับเคราะห์กรรมมาตลอดประวัติศาสตร์ โดยปัญหาใหญ่มักมาจากผู้นำที่มักจะโหดร้ายกับประชาชน และเอาประโยชน์เข้าตัว โดยที่นายปูตินจะมีลักษณะที่ผิดแปลกจากผู้นำคนก่อนๆ ก็เลยเป็นความหวังของชาวโลกว่า การพัฒนาของรัสเซียจะไปได้ทั้งการเปิดกว้าง ควบคู่กับทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี