ในห้วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา เราเคยมีนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ด้อยปัญญาที่สุดมาแล้ว เราเคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ที่สนับสนุนขบวนการล้มเจ้า ข่มขู่ประชาชนว่ามีปืน 10 ล้านกระบอก พร้อมสังหารทุกคนที่ขัดขวาง และเคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่เมาไวน์ทั้งวัน ลูกเต้าเป็นฆาตกรเป็นอันพาล เคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่หลอกลวงว่าขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้ประเทศจีน ทั้งๆ ที่สมคบกันโกง ทำให้ประเทศชาติเสียหายหลายแสนล้านบาท เราเคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่โกหกเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจและภาวะการเงินการคลัง เราเคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ชักนำต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในและสร้างความอับอายขายหน้าให้คนไทยทั้งประเทศมาแล้ว
จึงไม่แปลกใจ เมื่อรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ในการปรับ ครม.ประยุทธ์ 5 ออกมา จึงมีนักการเมืองหลายรายแสดงความพออกพอใจ ประชาชนทั่วไปแสดงความยินดี ที่ประชาชนยินดีไม่ใช่เพราะเหตุว่า ครม.ชุดใหม่ดีเลิศประเสริฐศรีหาที่ติมิได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ประชาชนพบว่า พวกเขามีนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดในรอบ 12 ปี พวกเขามีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ดีที่สุดในรอบ 12 ปี พวกเขามีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ดีที่สุดในรอบ 12 ปี สามตำแหน่งนี้ เป็นตำแหน่งสำคัญที่สุดในการบริหารประเทศ
ส่วนเหตุผลที่นักการเมืองหลายราย เช่น นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำคนสำคัญของพรรคชาติไทยพัฒนา และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความพอใจใน ครม.ประยุทธ์ 5 อาจเป็นเพราะว่า นักการเมืองช่ำชองเวทีทั้งสองท่าน เห็นการแต่งตั้ง ครม.ใหม่บางคนเข้ามา เป็นสัญญาณว่า พลเอกประยุทธ์ ได้ตอบคำถามข้อที่ 2 ใน 6 ข้อ ที่ถามประชาชน “ว่า คสช.มีสิทธิในการเลือกที่จะสนับสนุนพรรคใดพรรคหนึ่งใช่หรือไม่”
การแต่งตั้งนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แต่งตั้ง นายกฤษฎา บุญราช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการแต่งตั้งนายวิวัฒน์ ศัลยกำธร เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นสัญญาณบอกว่า คสช.ได้ใช้สิทธิเลือกสนับสนุนพรรคใดพรรคหนึ่งและคนใดคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว และการสนับสนุนในครั้งนี้ คสช.มีความชอบธรรมทุกประการ เพราะคุณสมบัติประสบการณ์ ความรู้ความสามารถของรัฐมนตรีทั้งสามท่าน เหมาะกับตำแหน่งหน้าที่การงานทุกประการเรียกว่า Put the right man on the right job
นายวีระศักดิ์ อดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในโควตาพรรคชาติไทยพัฒนา ยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน เป็นผู้มีความรู้ความสามารถเหมาะกับงานที่ได้รับมอบหมาย นายกฤษฎา บุญราช อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่พลเอกประยุทธ์ ให้ความไว้วางใจในการบริหารตั้งแต่เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎาเป็นคนมุ่งมั่นในการทำงานเข้าถึงมวลชนแบบถึงลูกถึงคน เมื่อคราวเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ผู้เขียนเคยติดตามทำข่าวการออกลาดตระเวนป้องกันภัยในพื้นที่สีแดงกับนายกฤษฎา ตั้งแต่หนึ่งทุ่มถึงตีสอง ติดตามการทำงานสามวันพบว่า ผู้ว่าฯกฤษฎาเข้าถึงมวลชนได้ดีจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกฤษฎาไม่มีปัญหากับพรรคการเมืองที่ยึดครองพื้นที่ภาคใต้มาเป็นเวลายาวนาน และนายกฤษฎายังเป็นที่พออกพอใจไปกันได้กับมวลชน กปปส.คุณสมบัตินี้เหมาะสมกับตำแหน่ง รมว.เกษตรฯในยุคที่ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ การเข้าใจเข้าถึงมวลชนจะทำให้เขาสร้างความพอใจ ลดความร้อนแรงลงได้ระดับหนึ่ง ด้านนายวิวัฒน์ หรืออาจารย์ยักษ์ ผู้เข้าถึงศาสตร์พระราชาที่ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง ท่านคงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาทำให้ภาคประชาสังคม ลดความเกรี้ยวกราดลงได้ระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม จะให้รัฐมนตรีว่าการ กับรัฐมนตรีช่วยแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำได้อย่างฉับพลันทันใด คงเป็นไปไม่ได้ เพราะราคาสินค้าเกษตร อาทิ ข้าว ปาล์ม ยางพารา ฯลฯ การขึ้นลงของราคาสินค้าเหล่านี้ มักผูกพันกับภาวะตลาดโลกและมีเหตุปัจจัยทั้งภายใน-ภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง มีทั้งเรื่องอุปสงค์, อุปทาน, ความต้องการ, ไม่ต้องการของตลาดโลก, เรื่องการเมืองภายใน-ภายนอกประเทศเข้ามาพัวพัน ดังที่รัฐบาลอินโดนีเซียกับรัฐบาลมาเลเซีย ต้องหัวเสียอยู่วันนี้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมาว่า “รัฐบาลมาเลเซียกับอินโดนีเซียโวยว่า มติของสภายุโรป ที่ว่าด้วยการจำกัดการนำเข้าน้ำมันปาล์ม จะทำให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มหลายล้านคนได้รับความเดือดร้อน”
สื่อต่างประเทศให้รายละเอียด ว่าประธานาธิบดีโจโก วิโดโด แห่งอินโดนีเซีย กับ นายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน ว่า “เจ้าของสวนปาล์มหลายล้านคนต้องได้รับความเดือดร้อน ถ้ารัฐสภายุโรปเดินหน้าออกมาตรการ ที่ไม่เป็นธรรม จำกัดควบคุมการใช้น้ำมันปาล์มในพลังงานชีวภาพ โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่าทั้งๆที่ผลผลิตจากน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ ก็ตัดไม้ทำลายป่าเช่นกัน ทำไมมาจำเพาะเจาะจงเอาที่ปาล์มน้ำมัน...”
อินโดนีเซียกับมาเลเซียเป็นประเทศปลูกปาล์มน้ำมันใหญ่ที่สุดในโลก อินโดนีเซียมีพื้นที่ปลูกปาล์มประมาณ 50 ล้านไร่ มาเลเซียประมาณ 35 ล้านไร่ ต้องโวยวายร่วมกัน เพราะรัฐสภายุโรปกำลังพิจารณาแก้ไขกฎหมายพลังงานชีวภาพ ตามข้อเสนอของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและกรีนพีซ ที่ได้เตือนถึงภัยซึ่งมีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ อันเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน
สมาชิกสภายุโรปแถลงว่า สภาฯกำลังพิจารณาแก้กฎหมายเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่า ให้สอดคล้องกับเป้าหมายสหภาพยุโรป ผลักดันให้ใช้พลังงานยั่งยืนทดแทน การใช้พลังงานชีวภาพในอุตสาหกรรมขนส่งคมนาคมภายในปี 2020 กฎหมายฉบับใหม่จะตรวจสอบและจำกัดการนำเข้าน้ำมันปาล์ม โดยการออกหนังสือรับรองฉบับเดียวที่ชื่อว่า Certified Sustainable Palm Oil“หนังสือรับรองน้ำมันปาล์มยั่งยืน” เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำมันปาล์มที่นำเข้าสหภาพยุโรป ผลิตมาจากสภาพแวดล้อม
วิถียั่งยืน กฎหมายฉบับนี้เมื่อผ่านรัฐสภายุโรปแล้ว จะนำเสนอประเทศสมาชิกต่างๆ เพื่อขอความเห็นชอบก่อนบังคับใช้
นายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กับประธานาธิบดี โจโก วิโดโด แห่งอินโดนีเซีย กล่าวว่า มติของสภายุโรป เจาะจงมาที่น้ำมันปาล์มว่า เป็นต้นเหตุของการตัดไม้ทำลายป่า ทั้งๆ ที่ผลผลิตน้ำมันพืชชนิดอื่นๆก็ตัดไม้ทำลายป่าเช่นกัน แถลงการณ์ของสองผู้นำกล่าวด้วยว่า “การจำกัดการนำเข้าน้ำมันปาล์มถือเป็นการขัดขวางเป้าหมาย ขจัดความยากจนและยกระดับรายได้ประชากรของสหประชาชาติ”
สื่อต่างประเทศรายงานด้วยว่า นี้เป็นครั้งแรกที่ผู้นำจากประเทศปลูกปาล์มน้ำมันรายใหญ่ ให้ความสำคัญกับการออกกฎหมายของสภายุโรป ที่ผู้นำทั้งสองมีความเห็นว่าเป็นการกีดกันทางการค้า ที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรรายย่อยนับล้านราย ส่วนประเทศไทยซึ่งมีพื้นที่ปลูกปาล์มประมาณ 6 ล้านไร่ ต้องได้รับผลกระทบตามสมควร เมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้
ยกเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ว่า ปัญหาราคาพืชผลทางเกษตรตกต่ำ และเศรษฐกิจฝืดเคืองมักมีผลต่อเนื่องมาตั้งแต่การผลิต พอเพียง ขาดเกินความต้องการของตลาดโลกหรือไม่ การเมืองและเศรษฐกิจสังคมโลกมีส่วนเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศอย่างไร การแก้ปัญหาระดับโลกต้องร่วมมือกันในระดับสากลอย่างไร เพื่อเตือนสติว่า อย่าตั้งความหวังไว้กับรัฐมนตรีใหม่มากเกินไป ขอเพียงให้พวกเขาขับเคลื่อนนโยบาย ไม่ให้ถูกข้าราชการครอบงำ เข้มงวดไม่ให้ข้าราชการประจำเข้าเกียร์ว่างขัดขวางการทำงานเท่านั้นพอ
ในประเทศไทย พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือพรรคข้าราชการ นักการเมืองรัฐมนตรีหน้าใหม่ บันไดเข้าห้องทำงานไปทางไหนยังไม่รู้ พวกที่เข้าไปอยู่ได้ไม่นาน ก็รู้ทางหนีทีไล่ รู้เรื่องน้ำร้อนน้ำชา รู้จักใต้โต๊ะบนโต๊ะ รู้จักเลี่ยงระเบียบกฎเกณฑ์ โกงอย่างไร หนีอย่างไร เจ้าหน้าที่เป็นผู้จัดให้ทั้งนั้น ที่ต้องติดคุกติดตารางหนีการคุมขังอยู่วันนี้ล้วนแต่ทำตามช่องทางที่เจ้าหน้าที่ชี้แนะให้ ไม่ว่าเรื่องเลี่ยงภาษีอย่างไร แปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตอย่างไร
การปรับ ครม.ประยุทธ์ 5 มีเพียงสิ่งหนึ่งที่บอกได้คือ คสช.เลือกแล้ว ว่าจะสนับสนุนพรรคไหน และมั่นใจได้ว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นได้ภายในปี 2561 และอีกประเด็นที่เชื่อขนมกินได้คือ คสช.ไม่ตั้งพรรคการเมือง จะไปตั้งให้เปลืองตัวเปลืองกระสุนดินดำทำไม ในเมื่อมีพรรคการเมือง มีกลุ่มการเมืองและบุคลากร พร้อมเป็นฐานให้ได้เปิดหน้าออกมาเรียบร้อยแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี