หัวข้อนี้ ตั้งขึ้นเพื่อเจริญรอยตาม “The End of History and the Last man” ซึ่งฟูกูยามา ได้นำเสนอต่อแวดวงวิชาการชาวตะวันตก เมื่อหลายปีมาแล้ว คำถามคือ ประวัติศาสตร์จะมีจุดจบได้อย่างไร ตราบใดที่มนุษย์ยังมีลมหายใจอยู่ ประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติก็คงเคลื่อนไหวต่อไปมิรู้จบ แต่จุดจบ หรืออีกนัยหนึ่ง เป้าหมายปลายทางของประวัติศาสตร์การเมือง ตามคติของเฮเกล (Hegel) นักปรัชญาเมธีที่ยิ่งใหญ่ของเยอรมนี ผู้เป็นต้นแบบของคาร์ล มาร์กซ์ (Carl Marx) กลับถือว่า ชัยชนะของนโปเลียนที่สมรภูมิเจนา ในปรัสเซีย คือจุดจบของประวัติศาสตร์ ในความหมายที่เส้นทางของวิวัฒนาการของประวัติศาสตร์ได้มาจบลง ณ ที่นี้ จบลงด้วยชัยชนะ(เชิงสัญลักษณ์) ของความคิดที่ยิ่งใหญ่ เรื่อง “เสรีภาพ” ของมวลมนุษย์
หนังสือสองเล่ม ที่ฟูกูยามา อุตส่าห์ค้นคว้าและขีดเขียนด้วยความกล้าหาญและโดดเด่นทางความคิด หาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ ดังที่กล่าวมาแล้วในบทความสัปดาห์ก่อน ก็มีข้อสรุปในทำนองนั้นเป็นข้อสรุปที่ว่า ระบบการเมือง-การปกครอง ก็มีวัฏจักรของความเจริญ ความเสื่อมได้อยู่เสมอ ในหนังสือเล่มแรก “The Origins of Political Order” (ค.ศ. 2011) เป็นการประมวลวิวัฒนาการของระบบการเมืองการปกครองของมนุษย์จากสมัยเริ่มแรกที่เป็นสังคมเผ่าพงศ์ จนกระทั่งได้จัดระเบียบทางสังคมการเมือง เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ที่ระบบการเมืองการปกครองได้บรรลุเป้าหมาย 3 ประการ คือ ระบบรัฐที่เข้มแข็ง ระบบนิติธรรมรัฐที่ดำรงอยู่ และระบบการเมืองที่รับผิดชอบต่อประชาชน (ทั้งด้านเป้าหมายการบริหาร และการได้มาซึ่งผู้แทนราษฎร) ขณะเดียวกัน ทั้ง 3 ระบบนี้ ก็อาจจะเสื่อมคลายลงได้ทุกๆ เวลา ดังที่สหรัฐอเมริกากำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน ในประเด็นที่เกี่ยวกับอำนาจรัฐล้มเหลวในหลายๆ เรื่อง เพราะอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งล้ำเส้นและขอบเขตของรัฐธรรมนูญ
ส่วนหนังสือเล่มที่ 2 ที่ชื่อว่า “Political Order and Political Decay” (ค.ศ. 2014) ได้กล่าวถึงหลายๆ ประเทศ ซึ่งดิ้นรนจะเป็นประชาธิปไตย แต่ต้องล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น เช่น ไนจีเรียและอีกหลายๆ ประเทศ ในแอฟริกาและลาตินอเมริกา รวมถึงบางประเทศในยุโรป เช่น กรีซ และอิตาลี ก็มีปัญหาของความเสื่อมคลายของสถาบันการเมือง และในเล่มที่ 2 นี้ ก็ให้ความสำคัญต่อการวิเคราะห์เหตุของความเสื่อมคลายของสถาบัการเมืองของประเทศต่างๆ ตั้งแต่สหรัฐอเมริกาและประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ตลอดจนความสำเร็จของการสร้างรัฐให้เข้มแข็งในบางประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น
โดยสรุป ผลงานการศึกษาค้นคว้าของฟูกูยามา ในชุดความคิดครอบคลุมแทบทุกมิติ ทุกประเด็นของวิวัฒนาการทางการเมือง มองเห็นข้อดีข้อเสียของระบอบประชาธิปไตย ข้อดี ข้อเสีย ของระบบรัฐที่เข้มแข็งและอ่อนแอ และไม่มีอคติต่อระบบใดๆ ทั้งสิ้น โดยเห็นว่า แต่ละสังคมย่อมเลือกเส้นทางของตนเองที่เหมาะกับสภาพแวดล้อม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมการเมืองของตน ยกตัวอย่างเช่น จีน ซึ่งเป็นชนชาติแรกที่รวบรวมอาณาจักร หรือแว่นแคว้นหลายร้อยแว่นแคว้น ให้กลายเป็นราชอาณาจักรเดียวกันได้ ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ เมื่อปี 221 ก่อนคริสต์ศักราช และจัดตั้งรัฐตามแนวคิดใกล้เคียงกับอุดมคติของแม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ในต้นศตวรรษที่ 20 โดยที่แม็กซ์ เวเบอร์ ไม่ทราบข้อมูลของประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ
สำหรับฟูกูยามา ให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อกระบวนการวิวัฒนาการของสังคมตั้งแต่ยุคสมัยสังคมล่าสัตว์ ผ่านมาเป็นสังคมเผ่าพงศ์ และเป็นรัฐเผ่าพงศ์ (tribal state) และเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่ ซึ่งยึดถือปทัสถานของความสำเร็จของผลงาน ความชำนาญเฉพาะทางและการไม่ยึดถือระบบเครือญาติเป็นเกณฑ์หลักของการจัดระบบองค์กรการบริหาร รัฐในรูปแบบ/อุดมการณ์ของแม็กซ์ เวเบอร์ จึงปฏิเสธระบบเครือญาติ และระบบอุปถัมภ์ และการทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้งปวง
รูปแบบของรัฐที่แม็กซ์ เวเบอร์ จินตนาการ เป็นรูปแบบที่มาจากพื้นฐานของการจัดตั้ง ราชอาณาจักรปรัสเซีย จากสมัยพระเจ้าเฟรดเดอริค วิลเลี่ยม คริสต์ศตวรรษที่ 18 แต่จีนสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช ได้จัดตั้งรัฐในอุดมการณ์ของแม็กซ์ เวเบอร์ มาแล้ว โดยยึดหลักปรัชญาลัทธินิตินิยม (Legalism) ของซังหยาง ซึ่งจะบังคับใช้กฎหมายให้ทุกคนปฏิบัติตาม ล้มเลิกระบบศักดินา และระบบเครือญาติ-ระบบอุปถัมภ์ ที่ดำรงอยู่ก่อนจิ๋นซี และต่อมาในยุคฮั่นตอนต้น ก็เกิดการประนีประนอมระหว่างการใช้หลักนิตินิยม กับปรัชญาลัทธิขงจื้อ (มนุษย์ธรรมนิยม) ซึ่งเน้นการประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่ของตน โดยหากทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ก็ต้องทรงประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสมกับพระราชา หากเป็นบุตร-ธิดา ก็ต้องประพฤติปฏิบัติดังบุตร-ธิดา ที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดา-มารดา เป็นต้น
ที่สำคัญ คือ หลักของการคัดกรองข้าราชการระดับสูง (ขุนนาง) โดยระบบการศึกษาเล่าเรียนลัทธิขงจื้อ และการสอบจอหงวน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารการปกครอง ที่ยึดเกณฑ์ความรู้ความสามารถเป็นหลักของการคัดกรองผู้บริหาร
ระบบการคัดกรอง (การสอบจอหงวน) และการจัดระบบการบริหาร-การปกครอง แบบอำนาจรวมศูนย์ จึงเป็นอุดมการณ์ของจีนตั้งแต่โบราณจนถึงยุคสมัยใหม่ และในทัศนะของฟูกูยามา ตลอดจนรัฐบุรุษ เช่น ลี กวน ยูอุดมการณ์ของจีนดังกล่าว ฝังตัวอยู่ในจิตวิญญาณของชาวจีนมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ และคงแก้ไขได้ยาก โดยเฉพาะการจะก้าวไปสู่สังคมประชาธิปไตยแบบตะวันตก
แต่ปรัสเซีย ซึ่งเริ่มต้นด้วยการสร้างรัฐให้เข้มแข็ง การรวมศูนย์แห่งอำนาจ การสร้างประสิทธิภาพของข้าราชการ การปฏิรูปการศึกษา-ปฏิรูปคน-วัฒนธรรมทางความคิดของคน และปฏิรูปอุดมศึกษา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ภายหลังการพ่ายแพ้ต่อพระเจ้านโปเลียน ในสมรภูมิเจนา (ค.ศ. 1807) ทำให้เกิดระบบข้าราชการที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยผู้คงแก่เรียนทางกฎหมาย ทำให้ปรัสเซีย และภายหลังเมื่อรวมเยอรมนีไว้ได้เป็นราชอาณาจักร สมัยบิสมาร์ค ค.ศ. 1871 ได้ก้าวไปสู่ความเป็นมหาอำนาจ โดยพระมหากษัตริย์ แม้ว่าทางทฤษฎีคงมีอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ในสภาพข้อเท็จจริง ก็ทรงประพฤติในขอบเขตของกฎหมาย และในที่สุด ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ได้ปรับรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม กรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือ กำเนิดของระบอบประชาธิปไตยในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ ทำไมจึงไปถึงเป้าหมายได้ก่อนฝรั่งเศส ทำไมประเทศอื่นๆ ในยุโรปจึงล้มเหลว หรือไปไม่ถึงเป้าหมาย มีสาเหตุอันใดที่ทำให้อังกฤษแตกต่างจากประเทศอื่น ความรู้ ความเข้าใจในประเด็นนี้ น่าจะทำให้เราชาวไทยได้เข้าใจเส้นทางของประชาธิปไตยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และน่าจะช่วยให้มีข้อคิดดีๆ ในการปฏิรูปการเมืองของสังคมไทย จะได้กล่าวถึงประเด็นเหล่านี้ในบทความต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี