การมีดวงตาเห็นธรรม คือการเห็นด้วยจักษุปัญญา ด้วยกำลังของสมาธิ และสติที่เป็นอิสระสูงสุด ซึ่งจะเริ่มด้วยการเห็นความไม่เที่ยง หรือความเป็นอนิจจังก่อนว่าสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
การเห็นดังกล่าวนั้นไม่ใช่การเห็นด้วยดวงตา หรือเห็นด้วยจักษุวิญญาณ แต่เป็นการเห็นด้วยจักษุปัญญา เป็นการเริ่มเข้าถึงกระแสแห่งพระอริยะที่จะยกระดับก้าวหน้าไปเป็นลำดับ
ดังนั้นพระปัญจวัคคีย์เมื่อได้ดวงตาเห็นธรรมหลังจากพระพุทธเจ้าแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาครั้งที่สองเมื่อวันแรม 5 ค่ำ เดือน 8 เรื่องอนัตตลักขณสูตร ก็ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ทั้ง 5 รูป
ลำดับแห่งการบรรลุมรรคผลนิพพานจากการเห็นความไม่เที่ยงไปจนถึงการหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร
ความยึดมั่นถือมั่นเป็นเหตุแห่งทุกข์ การหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นก็คือการหลุดพ้นออกจากความทุกข์ หรือนัยหนึ่งก็คือการดับทุกข์ เพราะเมื่อความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ดับแล้ว ทุกข์ก็ย่อมดับไปด้วย ภาวะแห่งการดับหรือการหลุดพ้นนั้นเป็นภาวะที่จำเป็นจะต้องทำการศึกษา ทำการปฏิบัติ และเพื่อถึงซึ่งความหลุดพ้นนั้น เพราะเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าพระองค์มีปกติสอนเรื่องทุกข์และความดับทุกข์เท่านั้น
เมื่อมีดวงตาเห็นธรรม เห็นความเป็นอนิจจังหรือความไม่เที่ยงแล้ว ก็เห็นความจริงว่าเมื่อสรรพสิ่งไม่เที่ยงเช่นนี้แล้ว การไปยึดมั่นถือมั่นก็ไม่มีประโยชน์อันใด และไม่มีอันใดที่จะต้องยึดมั่นถือมั่นได้ อุปาทานขันธ์หรือความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูของกูก็จะค่อยๆ จางคลาย
ความจางคลายจากความยึดมั่นถือมั่นนั้น นัยหนึ่งก็คือความเบื่อหน่ายที่จะยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวกูของกูอีกต่อไป ความเบื่อหน่ายจากความยึดมั่นถือมั่นนี้ก็เช่นเดียวกันกับสภาวะที่เกิดขึ้นกับการเห็นความไม่เที่ยง คือเป็นการเห็นหรือเข้าถึงด้วยปัญญาอันยิ่ง จนเกิดความเบื่อหน่ายจางคลายอย่างยิ่ง
ภาวะเบื่อหน่ายจางคลายนี้ท่านเรียกว่าวิราคะ หรือวิราคานุปัสสีนั่นเอง ดังนั้นในอานาปานสติสูตร ในกายคตาสติสูตร และมหาสติปัฏฐานสูตรจึงแสดงไว้ตรงกันเป็นอย่างเดียวกันถึงภาวะที่จิตเบื่อหน่ายจางคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น ภาวะที่เห็นความเบื่อหน่ายจางคลายและภาวะที่ความเบื่อหน่ายจางคลายเกิดขึ้นจนถึงที่สุดนั้น บางทีเรียกว่าการพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เมื่อความเบื่อหน่ายจางคลาย หรือวิราคะ หรือวิราคาเกิดขึ้น ความแจ่มแจ้งในสภาพที่สรรพสิ่งตั้งอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ มีความแตกดับไป มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดาก็แจ่มแจ้งขึ้น ภาวะของความยึดมั่นถือมั่นก็อยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน เมื่อความเบื่อหน่ายจางคลายแจ่มแจ้ง ผ่องใสด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว ความยึดมั่นถือมั่นนั้นก็จะดับไปๆ เป็นลำดับ จนกระทั่งดับสนิท ภาวะที่เหตุแห่งทุกข์หรือความยึดมั่นถือมั่นดับสนิทนั้นจึงเรียกว่าภาวะของความดับ หรือนิโรธานุปัสสี ภาวะนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่องจากภาวะที่ความเบื่อหน่ายจางคลายเจริญถึงขีดสุด
เมื่อใดที่ความยึดมั่นถือมั่นดับสนิทไป เหตุแห่งทุกข์ก็เป็นอันดับสนิทไปด้วย ภาวะนิโรธหรือภาวะของความดับทุกข์ก็ผ่องใส ชัดเจน ไม่มีสิ่งฉุดรั้งติดยึดอีกต่อไป จิตก็จะสลัดออกจากภาวะเดิม หลุดพ้นออกจากความยึดมั่นถือมั่นอย่างสิ้นเชิง ไม่หวนกลับคืนมาอีก ดังที่เรียกภาวะเช่นนี้ว่าเหมือนดังตาลยอดด้วน ที่ความเกิดจะไม่กลับคืนมาอีก
สภาพเช่นนั้นจึงได้ชื่อว่าภาวะสลัดคืนออกจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย มีความเป็นอิสระถึงที่สุด หลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง หรือที่เรียกว่าปฏินิสสัคคานุปัสสี
ภาวะที่เข้าถึงปฏินิสสัคคานุปัสสีที่หลุดพ้นออกจากความยึดมั่นถือมั่นชนิดที่ไม่อาจหวนกลับมาได้อีกต่อไปแล้ว ภาวะนั้นก็จะเกิดภาวะความรู้สูงสุดขึ้นกับจิต ซึ่งเป็นธรรมชาติของจิต เมื่อถึงซึ่งความเป็นอิสระสูงสุด มีความบริสุทธิ์ถึงที่สุดหลุดพ้นดับสนิทแห่งความยึดมั่นถือมั่นแล้ว ความรู้อันยิ่งที่เป็นธรรมชาติของจิตก็จะแจ่มจ้าขึ้น
แจ่มจ้าขึ้นว่าบัดนี้ได้เข้าถึงซึ่งความหลุดพ้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในอนัตตลักขณสูตร เมื่อจิตเข้าถึงภาวะเช่นนี้ว่าวิราคาวิมุตจะติ วิมุตตัสมิง วิมุตตะมิติ ญาณังโหติ ซึ่งแปลว่าเมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็จะมีญาณรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ญาณที่ว่านี้ก็คือความรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่าได้เข้าถึงซึ่งความหลุดพ้นหรือได้เข้าถึงซึ่งวิมุตตะมิติแล้ว
เมื่อหลุดพ้นสิ้นเชิงหรือเข้าถึงซึ่งวิมุตตะมิติแล้ว วิชชาหรือความรู้อันยิ่งสามประการก็จะปรากฏขึ้น ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิตที่เข้าถึงภาวะเช่นนั้น และต้องเป็นไปเช่นนั้น ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงลำดับแห่งการเข้าถึงวิชชาในคืนแห่งการตรัสรู้โดยลำดับคือ
ลำดับแรก เมื่อจิตหลุดพ้นเข้าถึงซึ่งวิมุตตะมิติแล้วจิตก็น้อมไปในบุพเพนิวาสานุสติญาณ คือญาณที่หยั่งรู้อดีตชาติในกาลก่อนๆ เป็นอเนกอนันต์ว่าเคยเกิดแล้ว มีชาติอย่างไร เป็นอย่างไร เป็นลำดับเข้ามาจนถึงปัจจุบัน ความรำลึกได้หรือความย้อนอดีตอันเป็นวิชชาและเป็นธรรมชาติของจิตก็จะปรากฏขึ้น
ลำดับที่สอง เมื่อวิชชาแรกปรากฏกระจ่างชัด ก็น้อมไปในวิชชาที่สอง คือจุตูปปาตญาณ คือการเห็นด้วยปัญญาถึงการเกิดดับของสัตว์ทั้งหลาย ว่ามีความเกิดขึ้นอย่างไร เป็นอย่างไร เป็นอเนกอนันต์
ลำดับที่สาม คืออาสวักขยญาณ เป็นวิชชาสูงสุดคือความรู้อันยิ่งถึงความหลุดพ้นที่บังเกิดขึ้นและไม่หวนกลับคืนมาอีก รู้ด้วยว่ากิจอันพึงทำนั้นจบสิ้นแล้ว ไม่มีกิจอื่นนอกจากนี้
อีกแล้ว ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว
เหล่านี้คือลำดับของความหลุดพ้นและการเข้าถึงซึ่งวิชชาและวิมุติดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ และเป็นเรื่องที่ชาวพุทธทั้งหลายพึงทำการศึกษา พึงเรียนรู้และปฏิบัติ เพื่อได้ลิ้มชิมรสพระธรรมตามควรแก่อัธยาศัยแห่งตนต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี