ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล, คุณรพี สุจริตกุล และคุณบรรยง พงษ์พานิช ได้ร่วมอภิปรายในงาน สัมมนาหัวข้อ “การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ : คำตอบของการดูแลสมบัติชาติ” จัดโดย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีเนื้อหาใจความเป็นเรื่องที่โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดมากๆ เรื่องหนึ่งของชาติ แต่…เงียบเชียบ สื่อหลักไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควรและไม่มีสื่อหลักสื่อรองให้ความใส่ใจที่จะแตกประเด็นลงไปอย่างละเอียดเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่เรื่องนี้แหละคือ เรื่องที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าพ้นกับดับ ไม่ติดหล่มอยู่อย่างทุกวันนี้อย่างแท้จริง..เรียกว่า การแก้ไขปัญหาตั้งแต่เชิงโครงสร้างด้านสถาบันหรือข้อกฎหมาย จะช่วยให้เกิดคุณูปการในระยะยาวมากกว่า
เรื่องรัฐวิสาหกิจมีความสำคัญเป็นอย่างสูง วัดเชิงมูลค่าที่ดร.ประสารได้บรรยายเอาไว้ ท่านบอกว่า...จากปี 2547-2559 สินทรัพย์รวมของรัฐวิสาหกิจไทยทั้งหมดรวมกันโตจาก 4.7 ล้านล้านบาท เป็น 14.4 ล้านล้านบาท รายได้รวมโตจาก 1.5 ล้านล้านบาท เป็น 4 ล้านล้านบาท เป็น 2 เท่าของงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล คือ มีนัยมากในเชิงของขนาด มีแนวโน้มเติบโตมากกว่านี้อีกเยอะ
พูดง่ายๆ คือ มันใหญ่และสำคัญกับเศรษฐกิจและคนไทยมากพอๆ กับภาครัฐ หรืองบประมาณรายจ่าย รวมถึงงบลงทุนของภาครัฐ แต่กลับได้รับความสนใจน้อยมาก และตอนนี้การร่างกฎหมายไปให้ถึงจุดที่ควรจะเป็น ยังค่อนข้างล่าช้า และมีการปั้นวาทกรรมเตะถ่วงออกมาเป็นระยะๆ
บทความของเราวันนี้ จึงขออนุญาต คั่นบทความต่อเนื่อง “อาจารย์กรณ์ สอนธรรมศาสตร์” ที่ว่ากันมาแล้ว 3 ตอน เหลืออีก 2 ตอน มาพูดกันด้วยเรื่องนี้อย่างละเอียดจากการถอดคำที่คุณบรรยง พงษ์พานิช ได้กรุณาอธิบายไว้อย่างละเอียดถึงความสำคัญ และคลี่คลายปมข้อกังวลของสังคมเอาไว้อย่างละเอียดทุกเม็ดดังนี้ครับ
จริงๆ ได้พูดหลักการทั้งหมดไปแล้ว แต่จะแยกออกมา 4 คำถามที่เป็นที่กังวล แต่ขอกลับไปเสริมความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการปฏิรูประบบรัฐวิสาหกิจ
เราพอจะรู้ว่า ประเทศไทยมีปัญหาในด้านพัฒนา เศรษฐกิจเราเติบโต 3% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นประเทศที่มาครึ่งทางของเป้าหมายการพัฒนา เราเป็นประเทศที่เติบโตต่ำสุดในอาเซียนไม่รวมสิงคโปร์ที่รวยกว่า 10 เท่าไปแล้ว นอกจากเติบโตช้าแล้ว ปัญหาการกระจายรายได้ก็เป็นปัญหาใหญ่
แล้วทำไมบอกว่า รัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องสำคัญ 12 ปีที่ผ่านมา รัฐวิสาหกิจขยายตัวจาก 4.7 ล้านล้านบาท เป็นประมาณ 15 ล้านล้านบาทแล้ว ขยายตัวจาก 60% ของจีดีพีเป็น 110% ของจีดีพีความหมายคือ เราเอาทรัพยากรของประเทศไปอยู่ใต้รัฐวิสาหกิจมากขึ้น
คำถามคือ ถ้าทรัพยากรถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่รั่วไหล ก็ไม่น่ากังวล เราก็รู้ว่าปัญหาของการพัฒนาประเทศคือ การเพิ่มผลิตภาพ มีตัวเลขชี้วัดมากมาย ไม่ได้โทษรัฐวิสาหกิจ แต่กระบวนการเดิมที่มีอยู่ ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการใช้ทรัพยากรก้อนใหญ่ของประเทศก้อนนั้น
แต่ไม่ได้มาพูดให้ลดการลงทุน มันลดไม่ได้ ลดขนาดก็ไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจจะทรุดเลยฉะนั้น เหลือทางเลือกเดียวคือ ทำอย่างไรให้กลับไปปรับปรุงประสิทธิภาพให้ได้
สิ่งที่เราพูด มันเป็นเรื่องของกระบวนการทางสถาบัน คือ จัดรูปแบบสถาบันใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อนและดูเฉยๆ จับต้องได้ยาก จึงต้องศึกษาอธิบายค่อนข้างยาวนาน แต่ที่ทำมาทั้งหมดมีหลักการ มีวัตถุประสงค์ชัดเจน ซึ่งดร.ประสารพูดไปชัดเจน
คำถามที่พบอยู่ในสังคม 4 คำถาม
ซึ่งคุณบรรยง พงษ์พานิช ได้ตอบระหว่างการบรรยายไว้ชัดเจน ผมจะขอถอดคำมาขยายความต่อดังนี้ครับ
คำถามแรก กฎหมายใหม่เป็นการรวมศูนย์กินรวบหรือไม่
แต่เดิมรัฐวิสาหกิจจะแยกกันอยู่ 10 กระทรวง ไม่มีมาตรฐานจะบริหารอย่างไร มีเรื่องก็ส่งผ่านกระทรวงเข้าครม. กระทรวงอื่นไม่มีใครสนใจ มีแค่สคร.-สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่สนใจ แต่หน่วยงานระดับกรมก็มีอำนาจจำกัด การรวมศูนย์แบบนี้ จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการและมาตรฐาน
รัฐวิสาหกิจมี 56 แห่ง กรรมการ 700 คนโดยประมาณ ต้องเรียนว่า การหากรรมการที่ดี ตั้งใจเสียสละ ยากจริงๆ ผลตอบแทนก็ไม่ได้สูง แต่พอรวมศูนย์ กระบวนการจะชัดเจนขึ้นและสิ่งที่จะช่วยไม่ให้กินรวบคือ มีกลไกธรรมาภิบาลสากล คือไม่ใช่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) จะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เช่น รัฐวิสาหกิจที่ไม่เข้าบรรษัท ทางกระทรวงก็ยังมีอำนาจอยู่ แต่ตอนนี้จะมีคนร.มาช่วยดู แต่ถ้าเจ้ากระทรวงไม่เห็นด้วย ก็เดินไม่ได้ มันเพิ่มการบูรณาการและคานอำนาจมากกว่าที่อยู่กับบรรษัทเหมือนกัน ทำอะไรทุกอย่างไม่ได้ ต้องมอบอำนาจลงไปที่บอร์ดทำตัวเป็นผู้ถือหุ้น จะทำอะไรก็ต้องไปที่คนร.แล้วไปที่ครม. เหมือนเพิ่มกระบวนการ แต่เป็นกระบวนการที่มีเหตุมีผล มีการรับผิดรับชอบมากขึ้น…..การกินรวบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยด้วย
คำถามที่ 2 คือ รัฐวิสาหกิจไม่ได้มุ่งเน้นทำกำไร
เราควรจะเน้นการให้บริการประชาชน อันนี้ไม่ได้หยุดที่จะทำ แต่จะมีการแยกแยะที่ชัดเจนผ่านระบบบัญชีที่เคยมีอยู่ แต่ไม่เคยใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จะหยิบมาใช้ ของเดิมเวลาเราบอกรัฐวิสาหกิจให้สวัสดิการด้วย มันทำให้ไปทั้งหมด คนจนคนรวยได้หมด แต่แบบนี้จะแยกแยะได้ ตัวอย่างเช่นเคยมีการเรียกร้องให้รัฐวิสาหกิจน้ำมัน ไม่ต้องมีกำไรหรอก ลดค่าน้ำมันไปได้ 4 บาทต่อลิตร ถ้าทำจริง มีงานวิจัยเยอะมากเลยบอกว่า ถ้า 1 บาทที่อุดหนุนไป 52 สตางค์จะไปที่คนรวย 10% แรกและมีเพียงไม่ถึง 1 สตางค์ไปที่คนจน 10% สุดท้าย แต่ถ้าเป็นระบบนี้ อยากอุดหนุนแจกไปเลย เดี๋ยวนี้เรามีบัตรคนจนเอาไป 5 บาทเลยก็ได้ แล้วทำบัญชี ยังน้อยกว่าที่อุดหนุนทั้งหมด กระบวนการอันนี้ทำให้การให้สวัสดิการตรงเป้าหมาย วัดประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นได้ รัฐวิสาหกิจก็อ้างไม่ได้ว่าสนองนโยบายบริการสาธารณะราคาถูก
คำถามที่ 3 ทำแล้วทำไมไม่เอานักการเมืองออกไปให้หมด
นักการเมืองเป็นทางเดียวที่ทำให้ฉันทานุมัติของประชาชนมาเกี่ยวข้องได้ อย่าลืมว่านักการเมืองได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาล เขาได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน รัฐวิสาหกิจต้องเป็นเครื่องมือนโยบายของรัฐบาล การตัดขาดเป็นองค์กรอิสระ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด มันจะทำนโยบายไม่ได้ แต่การทำอันนี้ ทำให้การออกนโยบายสบายๆแบบเดิม รัฐมนตรีสั่งทุกอย่างไม่ได้ มันต้องมีกระบวนการ มีแผนมียุทธศาสตร์ มีการเปิดเผย มีการคานอำนาจ แยกบทบาทยังไง นักการเมืองต้องกำหนดนโยบาย แต่เรามีคนที่มีเจ้าของมากลั่นกรอง มาต่อรองนโยบายได้
คำถามที่ 4 ประเด็นที่นำไปสู่การแปรรูป
ต้องขออนุญาต เวลาพูดกันเหมือนคำว่าแปรรูปเป็นความชั่วในตัวของมันเอง นำไปสู่การแปรรูปคือเรื่องชั่วแล้ว
ขออธิบายก่อนว่าใน 20 ปีที่ผ่านมา มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ 25,000 แห่ง ใน 120 ประเทศถ้ามันเลว ขายชาติก็คงขายกัน 120 ประเทศ แต่พูดถึงคำพูดของ Joseph Stiglitz นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลมาพูดเยอะมากว่า การแปรรูปคือการโกงที่มากที่สุด แต่จริงๆ แล้ว Stiglitz เขียนหนังสือ Globalization and its Discontents ในปี 2002 หรือโลกาภิวัตน์และความบิดเบี้ยวของมันไม่ได้แปลว่าโลกาภิวัตน์มันบิดเบี้ยว เขาส่งเสริมโลกาภิวัตน์ แต่เตือนว่า มันมีข้อบิดเบี้ยวที่ต้องดูอยู่
“เขาเขียนไว้ในหน้า 58 ว่า การแปรรูปช่วยให้ประเทศจากระบบสังคมนิยมมาสู่ระบบโลกาภิวัตน์ได้ดี แต่ถ้าทำการแปรรูปอย่างบิดเบี้ยว มันสามารถเปิดโอกาสให้นักการเมืองโกงได้
แทนที่จะกินทีละปี ก็กินทีเดียวตรงหัว เอารัฐวิสาหกิจไปขายถูกๆ ยกตัวอย่างชัดเจนคือ รัสเซีย คนแปรเอามาแค่ครึ่งเดียว ซึ่งประเทศไทยไม่เคยมีการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯที่เข้าข่ายคล้ายคลึงเลย ถ้าจะถกเถียงจะยาว แต่เวทีไหนก็ได้ เพราะว่ามันไม่มี ถ้าจะมีก็จะเกิดในรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้แปรรูปมากกว่า สิ่งที่คล้ายคือ การให้สัมปทานระยะยาว ทำให้เกิดอภิมหาเศรษฐีมากมาย การซื้อสินค้าและบริการระยะยาว อยากจะชี้ตรงนี้ว่า มีการอ้างอิงถึงมากเหลือเกิน”
กลับมาที่ประเทศไทย กฎหมายนี้ไม่ได้ทำเพื่อแปรรูป แต่ก็ไม่ได้ห้ามการแปรรูป เพราะไม่รู้จะห้ามทำไม การห้ามจะเป็นเรื่องที่ไปขัดขวางทางเลือกในอนาคตและทรัพยากรของรัฐจะบริหารยากขึ้นๆ แต่ถ้าจะแปรรูป กระบวนการเพิ่มขึ้น รัดกุมขึ้น และคานอำนาจกันมากขึ้น
หวังว่าการช่วยขยายความสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อ กฎหมายใหม่ร่างพ.ร.บ.เรื่องการพัฒนาและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจนี้ จะสร้างความกระจ่างให้หลายต่อหลายคนได้ไม่มากก็น้อยครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี