ชูป้ายไฟสาดใส่กัน ทั้งฝ่ายเชียร์รัฐบาล และฝ่ายคัดค้านการกระทำบางอย่าง
หลังการลงไปประชุม ครม.สัญจร ภาคใต้ผ่านพ้นไป มีประเด็น “ตกค้าง” ที่สังคมไม่ “จบ” ด้วย ทั้งเรื่องการ “ขึ้นเสียง” กับประชาชน ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กับการสกัด-จับกุม-ดำเนินคดี กับแกนนำ “เดินเทใจ ให้เทพา” โดยตำรวจ-ทหาร ซึ่งแน่นอนว่า หางเลขย่อมมาตกที่ “ลุงตู่”
ในเรื่องการ “ขึ้นเสียง” นั้น แม้จะเข้าใจได้ว่าเป็น “ธรรมชาติ” ของ “ทหารใหญ่” แต่ก็ยากจะปล่อยผ่านไปได้ โดยมิตักเตือนกันด้วยความปรารถนาดีว่า “อย่าทำอีก” เพราะประชาชนไม่ใช่ “พลทหาร” ของท่าน สิ่งที่เขาพูดนั้นจะถูกหรือผิดมันเรื่องหนึ่ง แต่การปฏิบัติกับประชาชนให้สมกับเป็น “ผู้หลักผู้ใหญ่” ของบ้านเมือง นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งควรคำนึงให้มากๆ เพราะบัดนี้ท่านคือ “นายกรัฐมนตรี” ไม่ใช่ “ผู้บัญชาการทหาร” และท่านลงพื้นที่ในนาม ครม.สัญจร ท่าทีที่เหมาะควรของท่านคือการ “ไปฟัง” มิใช่ “ไปสั่ง”
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็จบไป ไม่ติดค้างคาใจ เพราะเป็นแค่ “การพลั้ง” ไม่ใช่ “ทำผิดคิดชั่ว” จนเกินจะให้อภัย ยิ่งเมื่อท่านแสดงความเสียใจ ความขัดใจทั้งหลายก็จบลง
แต่ที่ยังไม่จบคือการควบคุมตัวแกนนำการเดินเท้าเทใจให้เทพา ที่มีการมองเป็น 2 มุมว่า สร้างความวุ่นวาย กับอยากได้โอกาสปรึกษาหารือกับนายกฯ
ในกลุ่มแรกก็จะมองว่า สร้างปัญหาไม่รู้จบ เขาก็รับฟังความคิดเห็นแล้ว ทำประชาพิจารณ์แล้ว ยังจะมาป่วนให้เป็นปัญหาอีก ไม่เอาโรงไฟฟ้าก็อย่าใช้ไฟฟ้าสิ (สุดโต่งกันไปเรื่อยๆ)
ในกลุ่มหลังก็มองว่า การ “มีส่วนร่วม” ในการเสนอ “ทางออก” และ “ทางเลือก” ควรมี ควรเปิดใจ และให้โอกาสประชาชนกลุ่มเล็กๆ ที่จะต้องแบกรับผลกระทบกับการสร้างโรงไฟฟ้าและท่าเรือ ซึ่งเขาไม่ได้ต้านการมีโรงไฟฟ้า แต่เขาอยากเสนอว่า “เชื้อเพลิง” ที่จะใช้ ทำไมต้องจำกัดอยู่แค่ “ถ่านหิน” เท่านั้น มันมีทางเลือกอื่นไหม ที่สร้างความกังวลใจต่อการดำรงชีพอยู่ใกล้ๆ โรงไฟฟ้านี้มากกว่า
มีความไม่ไว้ใจกันอีกกรณีหนึ่ง คือ การมองว่า ประชาชนที่เดินเท้ามานั้น มี “กระบวนการจัดตั้ง” ขึ้นมา จึงเห็นได้ว่ามีเด็กและผู้หญิงนำขบวน เหมือนเป็นกลยุทธ์ยามปะทะกับเจ้าหน้าที่ โดยกล่าวหาว่าคนเหล่านี้ มี “เอ็นจีโอ” ปลุกปั่นมา หรือหนุนอยู่ข้างหลัง แทนจะได้คุยกันว่า เรามา “คิดร่วมกัน” ดีกว่า ว่า “เชื้อเพลิง” อะไร ตอบโจทย์ความต้องการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงของพลังงานในพื้นที่ภาคใต้ โดยที่คนซึ่งต้องกิน นอน ใช้ชีวิตอยู่ใกล้ๆ สบายใจทุกคืนวัน และทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่เป็น “ที่พึ่ง-ที่ทำกิน” ของพวกเขานั้น ไม่ต้องรับผลกระทบอันใหญ่หลวง
เราจึงต้องเห็น “วิวาทะ” เรื่องโรงไฟฟ้าอยู่มากในเวลานี้ ที่คุยกันดีๆ ก็มี ที่คุยกันอย่างขุ่นแค้นก็มาก
ผมกลับชอบวิวาทะแบบ “มิตร” ของนักวิชาการท่านหนึ่ง ซึ่งเขียนจดหมายถึง “เปลว สีเงิน” แห่งสำนักพิมพ์ไทยโพสต์ ใจความดังต่อไปนี้
“จดหมายถึง คุณเปลวฯ จากเมืองหนาวเยอรมนี
เมื่อเช้าตื่นขึ้นมา มีคนส่งข้อความมาให้อ่าน ชื่อหัวข้อ “เอ็นจีโอ-รัฐบาล”ในเหตุการณ์ใต้
ในบันทึกว่าด้วยการทำสัประยุทธ์กันระหว่าง NGO-GO ในยุคไอที ต่อสู้กันด้วยภาพ-ข่าว และมองการเดินเท้าของชาวบ้านไปหานายกฯเพื่อยื่นหนังสือเป็นเรื่องการสร้างภาพดราม่าประกอบฉาก
พูดถึงกลยุทธ์ของฝั่ง NGO กับกลยุทธ์ของฝั่งรัฐบาล GO แล้วมาจบที่ NGO สายแดงกับรัฐบาล คสช.
ผมอ่านแล้วก็อยากให้คุณเปลวลงพื้นที่ไปดูความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องในพื้นที่บ้าง ก็จะกลับขึ้นมาเขียนข่าวได้น่าชื่นชม สะท้อนปัญหาจริงได้มากขึ้นนะครับ
คราวนี้...คุณเปลวฯ ลองสงบสติมโนฯ แล้วอ่านข้อมูลจากผมบ้างนะครับ
ถ้าคุณเปลวฯ รู้ไอที แล้วเอารายชื่อพี่น้องที่ถูกจับทั้ง 16 คนนั้น ไปปักหมุดแบบไอทีลงบนกูเกิลเอิร์ธ คุณเปลวฯจะทราบว่าพี่น้องทั้ง 16 คนก็จะมีบ้านอยู่ในหนองจิก เทพา จะนะ สงขลา สตูล ครับ แล้วคนเหล่านี้เป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการใหญ่ที่จะสร้างโครงการในพื้นที่ของเค้าทั้งนั้นครับ การที่เค้าลุกขึ้นมานำเสนอข้อมูล ข้อเรียกร้อง เค้าผิดด้วยหรือครับ มันดูมักง่ายไปหรือเปล่าที่จะยัดเยียดเค้าให้เป็น NGO อย่างที่อคติที่ท่านเขียนในบทความ และถ้าคุณเปลวฯเอาคนที่ร่วมเดินตลอดเส้นทางไปปักหมุดลงให้หมดตลอดสี่วันที่เค้าเดินกัน คุณเปลวฯก็จะเห็นเลยครับ ว่ากลุ่มพี่น้องเหล่านี้มีบ้านอยู่ตรงไหนบ้าง แต่ละพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนในอดีตมาอย่างไร? และมีความกังวลต่อโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไร?
การเหมารวมว่า พี่น้องเหล่านี้ เป็น NGO แล้วออกมาเดินสร้างดราม่าให้เป็นข่าวเพื่อต่อสู้ในสังคมสื่อยุคไอที มันจะเป็นความชุ่ยทางการเขียนข่าวมากเกินไปหรือเปล่าครับ?
ถ้าพี่น้องเขาทราบว่า ท่านนายกฯจะลงพื้นที่ อบต.ปากบางตามภาพข่าวที่ฝ่าย กฟผ.ส่งมาให้ผมดู ผมเชื่อว่าพี่น้องเหล่านี้ คงรอยื่นหนังสือให้กับนายกฯที่ ในพื้นที่อย่างแน่นอน ทำไมจะต้องเดินให้เท้าบวมเพื่อมานวดเท้ากันในตอนค่ำคืน เดินตากฝนเพื่ออะไร ถ้าเรามองลงไปลึกๆ คุณเปลวก็น่าจะเข้าใจมากกว่านี้
สำหรับข้อมูลพื้นที่ คุณเปลวฯ ลองไปเปิดอ่านเกี่ยวกับโครงการมาตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2557 นะครับ จนมาถึงปัจจุบันนี้ 3 ปีกว่าแล้วครับ ความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ การเลือกแผนพลังงานภาคใต้ ทำไมต้องเป็นธงถ่านหิน ทำไมไม่ปรึกษาคนใต้ด้วย ว่าเขาอยากจะอยู่กับแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงอะไร?
พี่น้องภาคใต้ได้มีส่วนร่วมในการปักหมุดพื้นที่ร่วมกับทางเจ้าของโครงการของหน่วยงานหรือของรัฐบาลบ้างหรือไม่? ปลูกบ้านตามใจผู้อยู่นะคุณเปลวฯ ทำไมต้องเทพา ทำไมต้องครอบโครงการลงทับซ้อนชุมชน ผมคิดว่ามันจะสร้างภาพลักษณ์ที่แย่ต่อโครงการนี้ไปเปล่าๆ ครับ ชาวบ้านในพื้นที่ได้มีโอกาสเลือกเสียสละชุมชนของตนเองก่อนที่จะทราบว่าจะมีโครงการมาลงครอบในพื้นที่ของเค้าหรือไม่ครับ
การที่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ลอยลงมาพื้นที่ปากบางในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ พื้นที่ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ยาวนาน และโครงการก็ครอบทับชาวบ้านประมาณ 250 ครัวเรือนในตอนแรก พอมีการคัดค้านเรื่องทับพื้นที่มัสยิด วัด ปอเนาะ กุโบร์ โรงเรียน และบ้านเรือนชาวบ้าน ก็มีการปรับขอบเขตของพื้นที่อย่างน่าละอายใจนะครับคุณเปลวฯ
คุณเปลวฯ รู้ไหมว่าเค้าปรับให้พื้นที่สำคัญทางศาสนาและโรงเรียนเหล่านั้นอย่างไร เขาก็แค่ขีดเส้นเพื่อล้อมกรอบให้สถานที่นั้น อยู่นอกเส้นบริเวณของโรงไฟฟ้านะครับคุณเปลวฯ เพื่อบอกว่า เห็นไหม พื้นที่ที่ว่าไม่ได้อยู่ในพื้นที่โรงไฟฟ้าแล้ว พร้อมทั้งล้อมกรอบวัดไว้ด้วยอย่างน่าเศร้าใจ ตรงนี้คุณเปลวฯ คิดว่าเป็นเรื่องของ NGO ไหมครับ
คุณเปลวฯ ทราบไหมครับว่าพื้นที่ที่เทพาในพื้นที่จะสร้างโรงไฟฟ้า 2850 ไร่ (ปรับลดจาก 2,962 ไร่ เมื่อโดนทักท้วง) เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ ติดอยู่กับป่าชายเลนประมาณ 10,000-20,000 ไร่ ทั้งเทพาและหนองจิกรวมกัน ที่นั่นชาวบ้านเขาทอดแหจับปลาชายหาดครับ จับกุ้งเคยกันชายหาดจนเป็นที่มาของกะปิเทพาชื่อดัง เขาจับปลาด้วยมือกันในคลอง มีหอยนางรม ป่าโกงกางโอบกอดเป็นซุ้มโกงกาง จนคน กฟผ.บางคนเห็นแล้ว สนับสนุนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเลย ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่มีโรงไฟฟ้าเข้ามาตรงนี้ ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ครับ อยู่ที่ชาวบ้าน อบต. อำเภอจะบริหารจัดการพื้นที่อย่างไรมากกว่า
คุณเปลวฯ ทราบไหมครับว่า ที่นี่ทางเจ้าของโครงการชี้ว่าเป็นพื้นที่ยากจน แต่ถ้าลงไปถามคนที่ทำมาหากิน บางคนหาปลาไม่กี่ชั่วโมง ได้ปลามาเป็น 30 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 200 บาท วันละ 6,000 บาท เดือนหนึ่งทำสัก 10-15 วัน รายได้เขาคงพอจะเลี้ยงชีพในครอบครัวได้อยู่ใช่ไหมครับ? เขามีทะเล คลอง ชายหาด เปรียบเสมือน ATM ที่มีชีวิต แต่ละสาขา เขาไม่หากินแบบมักง่ายที่จับแบบล้างผลาญ แต่เขาจับแบบพอเพียง เลือกเอาที่ให้ธนาคารในตู้ ATM มันงอกเติบโตขยายพันธุ์ได้อีกครับคุณเปลวฯ แล้วก็คิดกันเอาเองว่าจะไปกดเอาสักเท่าไรดีในวันนี้ จะเอามาส่งลูกเรียนหรือจะเอามาแค่กิน
ถ้าคุณเปลวฯ ว่าง ลองลงมาหาชาวบ้านในพื้นที่แล้วเอาเท้าไปเขี่ยๆ ทรายบริเวณชายหาดครับ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที คุณเปลวฯน่าจะได้หอยบริเวณนั้นมาเป็นสองกำมือครับ
ดังนั้น มันจะแปลกไหมถ้าชาวบ้านที่นี่จะอนุรักษ์แหล่งอาหารของตนเองไว้ ทั้งๆ ที่เขาขึ้นไป กทม.เพื่อขอพบนายกฯ หลายครั้ง แต่เคยเจอสักครั้งไหมครับ ผมก็เคยขึ้นไปนำเสนอ กะว่าจะได้เจอกับท่านนายกฯที่ กพร. แต่ก็เจอแต่ตัวแทนรัฐบาล ซึ่งหลังจากนั้นก็เงียบเหมือนไม่ได้รับการส่งต่อข้อมูลใดๆ ถึงนายกฯ เลย เหมือนข้อมูลไปไม่ถึงสัมผัสของนายกฯ เลยครับ ถ้าคุณเปลวฯ เข้าถึงนายกฯ รบกวนช่วยส่งต่อข้อมูลนี้ให้ท่านด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ
ผมไม่รู้ว่าคุณเปลวฯ ไปผูกใจเจ็บกับ NGO ที่ไหนมานะครับ และอีกหลายๆ สื่อที่ด่า NGO กันจัง ใครกันที่เป็น NGO ที่คุณหมายถึง ทุกคนก็คนไทยในพื้นที่กันทั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการอีกหลายสิบคนในพื้นที่นะครับ ที่มองเห็นความไม่เป็นธรรมกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นครับ
NGO คือ Non-Governmental Organizations เป็นองค์กรที่ไม่ใช่รัฐบาล
NGI คือ Non-Governmental Individual เป็นบุคคลที่ไม่ใช่เป็นคนในหน่วยงานรัฐ
คุณเปลวฯ เป็น NGI หรือ NGO ครับ? ผมอยากจะให้คุณเปลวฯ เจาะลงไปยังต้นปัญหาของพื้นที่มากกว่าครับ อย่าได้ผูกโยงเรื่องของพี่น้องเทพา พี่น้องสวนกงที่จะสร้างท่าเรือใหม่ กับกลุ่มทางการเมืองเลยครับ ไม่น่าจะทำให้คุณเปลวฯ ดูดีในสถานการณ์นี้ครับ
คุณเปลวฯ สามารถเข้าไปช่วยชาวบ้านอ่านเอกสารทั้ง ค.1 ค.2 ค.3 ได้ในเว็บไซต์ กฟผ. นะครับ ทั้งหมดน่าจะไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นหน้าครับ ช่วยพี่น้องชาวเทพาในการวิเคราะห์เรื่องผลกระทบแล้วนำมาช่วยสื่อสารกับสังคม ผมคิดว่าจะเกิดประโยชน์กว่าการมามโนฯ เขียนผูกโยงแบบนี้นะครับ เอกสาร อ่านได้จาก https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=1082&catid=40&Itemid=101
ผมเป็นนักวิชาการในพื้นที่ ที่ยอมให้เรื่องที่ไม่เป็นธรรมที่พี่น้องได้รับถูกกดทับและบิดเบือนไปจากหลักวิชาการและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ได้ครับ จึงอยากจะให้เกิดเวทีการนำเสนอข้อเท็จจริง การวิจัย ผลการวิจัยจริงเชิงประจักษ์ เอาข้อมูลจากที่มีจริงๆ มาถกกันทางวิชาการกับทั้งทีมนักวิชาการของฝั่งเจ้าของโครงการให้โจ่งแจ้งกันทีละประเด็นครับ แต่มันเกิดขึ้นได้ไหม? เจ้าของโครงการเปิดพื้นที่นี้ให้ไหม นอกจากเวที ค.1 ค.3 นำเสนอกันได้แค่คนละ 5 นาที พอไหมครับ สำหรับคุณเปลวฯ ที่จะนำเสนอเรื่องห่วงกังวลในบ้านของตนเองที่จะได้รับผลกระทบ?
คุณเปลวฯ คงไม่ทราบว่าข้อห่วงกังวลที่นักวิชาการ หมอ นักวิจัยในพื้นที่นำเสนอกันขึ้นไป เพื่อให้ตอบในเรื่องห่วงกังวล คำตอบที่ได้เป็นเพียงแค่ตอบให้ผ่านพ้นไปว่าได้ตอบแล้ว แต่ไม่มีการดำเนินการที่จะนำเสนอข้อกังวลนี้ให้สังคมได้รับทราบเชิงประจักษ์ เพราะข้อมูลไม่ได้ลงถึงชาวบ้านในพื้นที่อย่างจริงจัง ผมเองนำเสนอข้อห่วงกังวลไป 25 ข้อในเวที ค.1 และนำเสนออีก 33 ข้อในเวที ค.3 ครับ
ถ้าลำดับเหตุการณ์มาทั้งหมดในช่วงเวลา 3 ปีนี้ แล้วคุณเปลวฯ เข้าใจบริบททั้งหมด คงจะไม่เขียนบทความแบบวันนี้ออกมานะครับ
ผมแม้ว่าจะนั่งอยู่ที่เยอรมนีก็ตาม แต่ผมก็ติดตามข่าว การถ่ายทอดสดจากเครือข่ายครับ อันนี้ก็เป็นข้อดีของยุคไอทีครับ แต่ผมไม่ได้นั่งมโนเขียนเชื่อมโยงกลุ่มความขัดแย้งกับรัฐบาลนี้หรอกครับ ส่วนรัฐบาลเองก็ควรจะพิจารณาให้มากๆ ครับ อะไรที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งให้หยุดพิจารณากันใหม่เสียเถิดครับ เพราะเรื่องมันจะเลยเถิดครับ เพราะทุกคนก็เป็นผู้สื่อข่าวได้หมดครับ นำเสนอข้อมูลจากพื้นที่ขึ้นสื่อได้เองด้วยไอทีในมือของตนเอง
ฝากเรียนคุณเปลวฯ ลองทบทวนดูครับ เผื่อท่านจะเขียนสื่อออกมาได้ถึงหูรัฐบาลได้มากกว่าผมซึ่งเป็นแค่ก้านมะยมตีกลอง ตีอย่างไรก็ไปไม่ถึงไหนแน่ครับ ถ้าคุณเปลวฯ ใช้ศักยภาพในการส่งเสริมให้รัฐบาลเดินทางที่เหมาะสม และตรงกับความต้องการของคนในพื้นที่ คงเป็นคุณอนันต์ให้กับพี่น้องในประเทศไทยมากแน่ๆ ครับ
กราบขอบพระคุณที่อ่านจบครับ แม้ว่ามันจะยาวมาก แต่ก็ไม่ยาวและเหนื่อยเท่าที่พี่น้องเดินเท้ากว่า 80 กิโลเมตร จากเทพาเพื่อไปโดนจับขังโดนคดีหรอกครับ
ด้วยมิตรภาพครับ
นายสมพร ช่วยอารีย์”
นำเสนอมาทั้งหมดเพื่อจะบอกว่า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมี ผู้ร้าย เลย หยุดทำให้รัฐเป็นผู้ร้าย หยุดทำให้เอ็นจีโอและชาวบ้านเป็นผู้ร้าย เป็นตัวถ่วงความเจริญ แล้วลงไปศึกษาปัญหานี้ จับหัวใจของเรื่องให้เจอแล้วแก้ไขกันที่ตรงนั้น
สำหรับผม เท่าที่มองเห็น หัวใจสำคัญของเรื่องนี้คือ ขาดการ “รับฟังอย่างแท้จริง” และดูเหมือนตั้งธงจะใช้ “ถ่านหิน” โดยไม่เปิดช่องให้ฝ่ายอื่นๆ เสนอ “ทางเลือก” แล้วตัดสินใจร่วมกัน!! ปัญหาจึงดำรงอยู่ และกลายเป็นความระแวงต่อกัน ที่หาก “ลุงตู่” ไม่รีบเป็น “ผู้นำ” นำคนออกจากความขัดแย้งไปสู่การตัดสินใจที่มีเหตุผลด้วยกัน นับวันความแตกแยกจะเพิ่มขึ้น
จนยากจะเยียวยา!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี