l เขาว่า : เราจะไม่รู้ลึกซึ้งถึงกระบวนการยุติธรรมและประชาธิปไตยไทยว่าเป็นไฉน หากไม่เคยมีคดีขึ้นศาล
กระบวนการยุติธรรมไทยมีครบ : ไม่เป็นธรรม ไม่เสมอภาค ไม่มาตรฐาน แพง ช้า ขาดประสิทธิภาพ ดร.คณิต ณ นคร เคยสรุปไว้ ซึ่งดูใกล้เคียงความเป็นจริง หมายถึงโดยภาพรวมน่ะครับ เพราะ “มีหลายคดี” ที่ได้มีการปฏิรูปโดยกระบวนการยุติธรรมในส่วนที่ปรับตัวแล้ว ก็ทำได้ดี
l หากใช้ “โดรน” ขึ้นไปถ่ายภาพสำนักงานที่เกี่ยวข้องฯ ตำรวจ อัยการ ศาลฯในสังคมไทยจะเห็น ชั้นและปัจจัยต่างๆ ของสังคมที่เกี่ยวข้องและเป็นเหตุถึง : ความอยุติธรรม
1.พื้นฐานที่สุดคือโครงสร้างและระบบสังคมไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เสมอภาคเป็นธรรม ที่ทำให้คนชั้นบน คนมีอำนาจ มีฐานะ ทั้งกลุ่มทุนใหญ่ นักการเมือง และข้าราชการใหญ่ฯอยู่เหนือประชาชนชั้นล่าง โดยเฉพาะชาวนา กรรมกร คนจนในชนบทและในเมือง รวมทั้งคนทั่วไป ระบบฯนี้ธำรงรักษาระบบอุปถัมภ์ วัตถุนิยมและระบบทุนนิยมฯ เพื่อให้ข้างบนได้เปรียบข้างล่างฯ
2.กระบวนการยุติธรรมไทยยังมีปัญหาความไม่เสมอภาคเป็นธรรมฯ ซึ่งเป็นผลมาจากข้อแรก ทำให้ระบบการพิจารณาคดี “คนที่เป็นโจทก์ โดยเฉพาะจำเลย” ต้องขึ้นต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างสิ้นเชิงทั้ง ตำรวจ อัยการ ศาล กรมราชทัณฑ์และทนายความฯ ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องที่ยาก มีอุปสรรคหลายปัจจัยที่คนทั่วไปจะเข้าถึง จะใช้ได้อย่างทั่วถึง
ที่สำคัญคือ “ระบบความคิดที่ยึดกฎหมายแพ่งอาญาฯเก่า” ไม่ได้ยึดหลักกติกาสูงสุด คือ รัฐธรรมนูญ
3.คนไทยยังขาดคุณภาพคือ การเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง มีความรู้สติปัญญา ความจริงฯ และการต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรมทั้งเพื่อตนเองและคนอื่น โดยเฉพาะเรื่องของประชาธิปไตยของสังคม ทำให้คนทั่วไปเข้าไม่ถึง ไม่เข้าใจ ไม่มีความรู้ฯ จึงต้องอาศัยทนาย ฯลฯ และขึ้นต่อกระบวนการยุติธรรม
จากเหตุดังกล่าว คนชั้นบนที่มีอำนาจ-ทุนฯจะใช้กลไกที่ไม่เป็นธรรม มาทำให้ตนได้เปรียบ และเอาเปรียบคนชั้นล่างหรือคนที่ขาด
กลไกต่างๆ ที่จะต่อสู้ปกป้องเพื่อความถูกต้องเป็นธรรมให้ตนเองและส่วนรวม
l หากอยากจะรู้เข้าใจให้ลึกซึ้งถึง “กระบวนการยุติธรรม” ลองมีคดี แล้วจะรู้ว่า “คุณขาดความอิสระ”
1.ในคดีฯมีบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ดังนี้
1.ผู้ต้องหา จำเลย ผู้เสียหาย รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทน เช่น ผู้แทนนิติบุคคล
2.ทนายความ พนักงานสอบสวน อัยการ ศาลยุติธรรม (แพ่ง อาญา) ชั้นต้น-อุทธรณ์-ฎีกา
3.กรมราชทัณฑ์
2.ขั้นตอนการพิจารณาคดีอาญา
3.ชั้นพิจารณาคดี
4.การสืบพยาน
5.คำพิพากษาตัดสิน
6.การเตรียมหลักทรัพย์ ประกัน หรือ เงิน ที่ต้องจ่ายค่าปรับ ฯลฯ
l จำเลยหรือโจทก์ คือบุคคลที่สำคัญที่สุดในคดี มิใช่ใครอื่นใดๆ เพราะเป็นผู้รับผลได้ผลเสีย โดยตรง จากกระบวนยุติธรรม มิใช่ ทนาย ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์
แต่ความเป็นจริงที่ขมขื่น ที่ได้เห็นกันอย่างชัดแจ้ง โดยเฉพาะ“ผู้ที่โดนคดี”
การโดนคดี หากเป็นเรื่องถูกต้อง เป็นธรรม คือ “เราเสียหาย”หรือ “เราผิดจริง”
แต่ความเป็นจริง มีไม่น้อยที่เราไม่ผิด เราทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถูกใส่ร้าย ถูกอำนาจไม่เป็นธรรมซึ่ง “ผู้ที่อำนาจไม่เป็นธรรม” ก็อาศัยระบบโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมของสังคมและกระบวนการยุติธรรม
l โจทก์-จำเลย ต้องรับรู้เข้าใจ เรื่องราวและขั้นตอนต่างๆ สิทธิและหน้าที่ของตน ทนาย ตำรวจ อัยการ ศาล กรมราชทัณฑ์
คือ อะไรเป็นสิทธิของตน อะไรเป็นสิทธิของทนาย ตำรวจ อัยการ ศาล กรมราชทัณฑ์ เพราะ ที่ผ่านมา “จำเลยหรือโจทก์” รู้เรื่องน้อยมาก เพราะไม่ได้ให้ความสนใจและความสำคัญ และที่สำคัญ “ทนาย” และ “ตำรวจ อัยการ ศาล กรมราชทัณฑ์” ไม่ได้แจ้งอย่างชัดเจน ปล่อยให้ “จำเลย หรือโจทก์” อยู่เฉยๆ คอย รับ “คำบอก” คำแนะนำหรือทำตามทนายและอื่นๆ
มีสิทธิแถลงเปิดคดี และมีสิทธิแถลงปิดคดีได้ในการสืบพยานต่อหน้าบัลลังก์ศาล (ซึ่งทนาย-ศาล ควรต้องอธิบายให้โจทก์-จำเลยทราบทุกครั้ง)/ซึ่งบ่อยครั้ง มีการละเลย
คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่ต้องนำพยานเข้าสืบก่อนจำเลยเสมอ และเมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว จำเลยจึงนำพยานเข้าสืบต่อไป ก่อนสืบพยานโจทก์และจำเลย มีสิทธิแถลงเปิดคดี และหลังสืบพยานเสร็จแล้วโจทก์และจำเลยมีสิทธิแถลงปิดคดีได้
l ในเรื่องทนาย : ลองพิจารณา “ใบแต่งตั้งทนาย”
ข้าพเจ้า : “นายคนดี รักประชาธิปไตย” จำเลย
ขอแต่งตั้งให้ “นายเที่ยงตรง รักความยุติธรรม” เป็นทนายของข้าพเจ้าในคดีนี้ และให้มีอำนาจ ดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ไปในทางจำหน่ายสิทธิของข้าพเจ้าได้ เช่น การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความ การสละสิทธิ์ หรือการใช้สิทธิในการอุทรณ์ หรือฎีกา หรือการขอให้พิจารณาคดีใหม่
ข้าพเจ้ายอมรับผิดชอบ ตามที่นายเที่ยงตรง รักความยุติธรรม ทนายความ จะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามกฎหมาย
ขอรับรองว่า ผู้แต่งทนายความ ได้ลงลายมือชื่อจริง ผู้แต่งทนาย, ลงชื่อ ทนายความ
โดยเหตุผล การมอบอำนาจให้ทนายเช่นนี้ เป็นไปเพื่อความสะดวก ในการดำเนินคดีของทนายแต่โดยหลักการแล้ว ในเรื่องสำคัญที่ชี้เป็นตายของจำเลย ทนาย ควรจะต้องบอกและขออนุญาตก่อน
l ประเด็นที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้งเกี่ยวกับ “กระบวนการยุติธรรมไทย” ที่ต้องมีการ “ปฏิรูป” คือ
1.ค่าจ้าง “ทนาย” ของโจทก์ จำเลย ต้องเป็นธรรม (ควรที่จะมีการเปิดเผย ทางใดทางหนึ่ง)
2.ทนาย ต้องมีจรรยาบรรณในวิชาชีพ และเคารพสิทธิของ ลูกความ เป็นหลัก ฯลฯ
3.อัยการ ต้องเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนว่า “มิใช่ทนายโจทก์-จำเลย” แต่เป็นอัยการแผ่นดิน
4.กระบวนการยุติธรรมขั้นต้น “ตำรวจ” มาถึงอัยการ และขั้นสุดท้ายคือ “ศาล” ต้องผดุงความยุติธรรม และต้องยึดหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่ที่สูงสุด คือ “รัฐธรรมนูญ” ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
5.กระบวนการยุติธรรม ต้องมีมาตรฐานเดียว มิใช่ขึ้นกับดุลยพินิจของแต่ละคน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี