ความขัดแย้งรูปแบบใหม่กำลังก่อตัวขึ้นในประเทศไทย
เกิดจากความแตกต่าง ความไม่ทัดเทียมของคนในชาติ
1. ขณะนี้ ตัวเลขภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น จีดีพีเติบโต รายได้รวมของคนในประเทศอาจจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4%
แต่ถ้าดูเนื้อในของการเติบโตดังกล่าว พบว่า เป็นการเติบโตจากการส่งออก การท่องเที่ยว รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเป็นการเติบโตในความมั่งคั่งของคนจำนวนน้อย ที่ช่วยดันยอดการเติบโตเฉลี่ยขึ้นไปถึง 4%
สะท้อนว่า คนจำนวนน้อยอาจมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 15-20% ในขณะที่คนจำนวนมาก คือคนจน รายได้เติบโตน้อยมาก หรืออาจไม่เติบโตเลย บางคนอาจจะมีรายได้พอๆ กับปีก่อน หรือบางส่วนอาจจะติดลบด้วยซ้ำ แต่เมื่อนำรายได้ของคนจนกับคนรวยทั้งประเทศมาหาค่าเฉลี่ย จึงได้ค่าเฉลี่ยที่เติบโตอยู่ราว 4%
ในปีนี้ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำแทบทุกชนิด
ยิ่งกว่านั้น เศรษฐกิจทุกภาคส่วนก็เริ่มยกระดับเทคโนโลยี โดยมีการใช้เครื่องจักรสมองกลมากขึ้น ทดแทนแรงงาน ทำให้เกิดการว่างงานแฝงจำนวนมาก
ในสภาวะเช่นนี้ ลองสำรวจดูทีมเศรษฐกิจของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พบว่า ยังพยายามมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ในส่วนการใช้จ่ายของรัฐบาล และในเรื่องการบริโภค
ยุให้คนออกมาจับจ่ายใช้สอย ก่อหนี้ มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดดเด่นก็แต่เฉพาะเรื่องลูกเล่นการตลาด เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช็อปช่วยชาติ ประชารัฐ ฯลฯ ทั้งหมดล้วนเป็นแต่เพียงลูกเล่นการตลาด
2. สภาพการเมืองไทยระยะหลัง และต่อจากนี้ไปเบื้องหน้า ผมมีความเชื่อว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะเป็นตัวผลักดันให้คนมีความเห็นต่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ขณะนี้ เท่าที่สำรวจผ่านการไปพบปะผู้คนในภาคส่วนต่างๆ พบว่า มีคนเห็นต่างทางการเมืองชัดเจน
กล่าวคือ คนฐานะดี ชนชั้นบน คนที่ได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ก็ออกมาเชียร์รัฐบาลทหารว่าดีแล้ว ทำให้เกิดความสงบ ทำธุรกิจค้าขาย เงินทองคล่องมือ ถึงกับพูดว่าอยากให้อยู่นานๆ ไม่ต้องรีบไปเลือกตั้ง หรือถ้าเลือกตั้งก็อยากให้เป็นรัฐบาลต่อ
แต่เมื่อไปพบกับกลุ่มคนที่ไม่ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ก็พบว่า เริ่มมีการด่ารัฐบาลทหารค่อนข้างมาก เพราะเศรษฐกิจปากท้องเป็นของสำคัญที่ชาวบ้านรู้สึกได้ง่าย รับรู้ได้ สัมผัสได้ด้วยตนเอง จึงเริ่มเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง เริ่มมีกระแสที่ไม่ชอบเผด็จการทหาร เริ่มเห็นว่ามีคลิปการยอวาที ซึ่งปกติ การยอวาทีเคยเกิดในสมัยรัฐบาลถนอม ยุคที่ประชาชนรู้ว่าไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์โดยตรงได้
จึงใช้วิธียกยอปอปั้นแบบสุดโต่ง เพื่อเป็นการกระแทกกระทั้นเสียดสี ตลกโปกฮา ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็น เริ่มปรากฏ สะท้อนภาพสังคมได้ส่วนหนึ่ง
3. ผมมองว่า ในปีหน้า หลังการเลือกตั้งใหญ่ ประเทศไทยคงอยู่ในสถานะลำบาก ถ้าเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมยังเป็นอย่างในปัจจุบัน เสถียรภาพทางการเมืองก็จะลำบากด้วย ในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งแบบใหม่
กล่าวคือ คนฐานะดี คนชั้นสูง ดูจะชอบพรรคทหาร
พรรคทหารในที่นี้ ผมหมายถึงพรรคการเมืองที่เกิดใหม่เพื่อสนับสนุนทหาร รวมถึงกับ สว.อีก 250 คน
ขณะเดียวกัน คนจน ชาวบ้าน เกรงว่าจะเทไปเลือกพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ เพื่อไทย หรือประชาธิปัตย์
เผลอๆ อาจจะเลือกเพื่อไทยมากขึ้น
การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ในสภาวการณ์เช่นนี้ จะเป็นเรื่องที่หาเสถียรภาพได้ยาก
ผมคิดว่า การรวมตัวระหว่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ เป็นไปได้ยากมาก โอกาสน้อยมาก หรือแทบไม่มี ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง พรรคประชาธิปัตย์ก็คงจะสูญพันธุ์โดยเร็ว
อีกด้านหนึ่ง พรรคเพื่อไทย หากจะรวมกับนอมินีของเพื่อไทยที่แตกตัวออกมา รวมกับพรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็กอื่นๆ ก็น่าจะยากที่จะได้จำนวน 375 เสียงขึ้นไป
เช่นเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ แม้จะรวมกับพรรคเล็ก-กลาง ก็ยากจะได้ 375 เสียงขึ้นไป
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทย ใครจะรวมกับพรรคทหารเพื่อจัดตั้งรัฐบาล?
สมการนี้ เสถียรภาพทางการเมืองจะมีหรือไม่ อยู่ที่ว่า มีจำนวน สส.ในสภาผู้แทนราษฎรเกิน 250 แค่ไหน? และ ใครจะเป็นนายกฯ?
ผมเชื่อว่า โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะร่วมกับพรรคทหาร สูงว่าประชาธิปัตย์ร่วมกับเพื่อไทย หรือเพื่อไทยร่วมกับพรรคทหาร
คำถามต่อมา คือ ใครจะเป็นนายกฯ? หากมีนายกฯ
คนนอก ไม่ว่าจะเป็นพลเอกประยุทธ์หรือใครก็ตาม ถ้าคนนอกไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดิน พรรคประชาธิปัตย์คงจะเป็นพรรคตกต่ำทันที เพราะถูกกล่าวหาว่าไปร่วมกับทหาร อนาคตจะกลายเป็นพรรคเล็กทันที
นับว่าเป็นความเสี่ยงในทางการเมือง อันเกิดจากสภานการณ์ความขัดแย้งใหม่ ที่ไม่ง่ายเลย
4. สถานการณ์เศรษฐกิจปากท้องของชาวบ้านในปัจจุบัน โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร คนส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ คงไม่ไปวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะสภาวการณ์โลก หรือเกิดจากเหตุปัจจัยอะไรบ้าง แต่ส่วนใหญ่มักใช้ความรู้สึกนึกคิดเป็นหลักว่า สมัยไหน ยุครัฐบาลใด ทำมาหากินง่าย ขายคล่อง ขายได้ราคาดี ก็ยกให้เครดิตรัฐบาลยุคนั้นไปเสียทั้งหมด เพราะที่ผ่านมา ในยามสินค้าเกษตรราคาดี ทำมาค้าขายดี รัฐบาลในอดีตก็ชอบอ้างว่าเป็นงานของตัวเอง เพราะฉะนั้น ในยามฝืดเคือง ชาวบ้านก็ต้องเชื่อว่าเป็นเพราะรัฐบาล
การเลือกตั้งในช่วงปลายปีหน้า แน่นอนว่าจะได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ขัดแย้งกันเช่นนี้
คนจำนวนน้อยที่ได้รับผลประโยชน์มูลค่าสูง กับคนจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบเดือดร้อนจากสภาวะเศรษฐกิจที่ความมั่งคั่งยังกระจายไปไม่ทั่วถึง
สภาวการณ์ที่มีความขัดแย้งเช่นนี้ ส่งผลต่อการเลือกตั้งแน่ๆ
ที่สำคัญ จะส่งผลต่อไปถึงเสถียรภาพการจัดตั้งรัฐบาลด้วย
จะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลและรักษาเสถียรภาพทางการเมืองในแบบที่มีคนคิดวางแผนว่าจะใช้โมเดลแบบในอดีต ไม่ง่าย และมีความปัจจัยแทรกซ้อนมากกว่าที่เคยคิดไว้
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี