ณ วันนี้ ประเทศซิมบับเวเพิ่งจะมีประธานาธิบดีคนใหม่หมาดๆ ได้แก่ นายเอ็มเมอร์สัน มนังกากวา ซึ่งก้าวขึ้นมาแทนที่ นายโรเบิร์ต มูกาเบ ผู้ที่ผูกขาดการครองอำนาจอยู่เป็นเวลา 37 ปี (นับตั้งแต่การสิ้นสุดของรัฐบาลคนผิวขาวที่เหยียดผิว กดขี่คนผิวดำ) ซึ่งตอนนั้นประเทศยังมีชื่อว่า โรดีเซียใต้
ในยุคเริ่มต้นของนายโรเบิร์ต มูกาเบ เขาได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษของชาติ ของคนผิวดำ เลยทีเดียว เพราะเขาได้นำการต่อสู้ที่นำไปสู่การปลดแอกจากการกดขี่ของคนผิวขาว โดยมีอุดมการณ์แห่งเสรีชนที่ทัดเทียมกันของคนผิวดำ
ที่ผ่านมา ชาวซิมบับเวจึงไม่เคยรู้จักผู้นำคนอื่นใดเลย นอกจากโรเบิร์ต มูกาเบ คนเดียวเท่านั้น และเมื่อเขาเริ่มต้นบริหารประเทศ ความเจริญก้าวหน้าก็เริ่มหลั่งไหลสู่ประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ โดยเฉพาะด้านการศึกษา, สาธารณสุข, บริการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐาน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นสิบๆ ปี ภาพลักษณ์ของโรเบิร์ต มูกาเบ ในสายตาประชาชนชาวซิมบับเว ชักเปลี่ยนไป ไม่สวยงาม เพราะชาวบ้านเริ่มรู้สึกตรงกันว่า นายมูกาเบนั้นเพลิดเพลินกับอำนาจ และยังคิดว่า ประเทศชาติและคนทั้งชาติต่างเป็นหนี้บุญคุณต่อเขา และจะขาดเขาไปเสียไม่ได้ ถึงขั้นที่กล้าประกาศต่อสาธารณชนว่า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ปลดเขาออกจากตำแหน่งได้
เมื่อเชื่อมั่นแรงกล้าเช่นนั้น ก็ไม่แปลกที่เขากล้าเสี่ยงทำทุกวิถีทาง เพียงเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไป (ชนิดจนกว่าชีวิตจะหาไม่) แม้กระทั่งจัดการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและ
ไม่เที่ยงธรรม โดยที่ผ่านมาก็ย่ำแย่อยู่แล้วกับการบริหารประเทศแบบผูกขาดเผด็จการ ที่มุ่งสร้างอาณาจักรแห่งความกลัว และเมื่อความศรัทธาจากประชาชนเสื่อมถอยลง ชาวบ้านถึงได้ตาสว่างว่า นโยบายยึดที่ดินพลเมืองผิวขาว (โดยไม่ให้ค่าตอบแทน) เพื่อนำมาจัดสรรให้พลเมืองผิวดำ ก็แค่นโยบายประชานิยมสิ้นคิด มุ่งหวังเอาแต่เสียงเชียร์จากชาวบ้านเท่านั้นเมื่อดำเนินการปฏิบัติ โดยขาดการเตรียมการเตรียมตัวหรือแผนรองรับ ก็เลยส่งผลให้เกิดหายนะทางเศรษฐกิจขนานใหญ่แก่ประเทศ เพราะคนดำที่ได้ที่ดินไป ก็ไม่มีความสามารถในการจัดการเกษตร (เนื่องจากเป็นลูกจ้างมาโดยตลอด) ผลผลิตการเกษตรที่เป็นเสาหลักก็ขาดแคลน ผู้คนเริ่มอดอยาก ตกงาน ในที่สุดก็ต้องดิ้นรนหนีตายไปหางานทำนอกประเทศ สังคมพังพินาศ เพียงเพื่อสนองนโยบายหลอกเอาเสียงสนับสนุนจากประชาชน โดยไม่ใส่ใจถึงอนาคตของประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนายโรเบิร์ต มูกาเบ เริ่มมีปัญหาสุขภาพ แทนที่คิดจะวางมือ กลับวางแผนผ่องถ่ายอำนาจสู่มือภริยาสาวโดยไม่เกรงอกเกรงใจชาวบ้าน เร่งปูทางสร้างราชวงศ์การเมือง (Dynasty) ขึ้นมาให้กับตระกูลของตน ซึ่งผู้ภริยาก็หลงอำนาจวาสนาไม่คิดประเมินความสามารถของตนในการจะมารับหน้าที่อันใหญ่หลวง คิดว่ามีสามีเป็นแบ๊กอัพเสียอย่าง ไม่ต้องกลัวใคร ซึ่ง 2 สัปดาห์ หลังจากการปลดนายเอ็มเมอร์สัน มนังกากวา ออกจากตำแหน่งรองประธานาธิบดี เพื่อเปิดทางให้นางเกรซ มูกาเบ ส่งผลให้เกิดความแตกแยกอย่างใหญ่หลวงภายในรัฐบาลและพรรค และยังสร้างความปั่นป่วน ความไม่พึงพอใจไปทั่วทั้งสังคม
อำนาจนั้นไม่เข้าใครออกใคร เมื่อนายมูกาเบไม่รู้จักการลงจากเวที ไม่รู้จักพอ แถมยังยึดมั่น ถือมั่น เต็มไปด้วยอัตตาว่า ข้าเท่านั้นที่เป็นความหวังของประเทศ ทำให้หน้ามืดตามัว คิดได้แต่ความอยู่รอดของตนว่าเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าความเจริญก้าวหน้าของประเทศ เลยทำให้ซิมบับเววิ่งลงเหวแห่งความหายนะ อันเนื่องมาจากปฏิกิริยาต่อต้านที่ขยายมากขึ้นในทุกวงการ
จนในที่สุด เมื่อไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจผู้นำได้ ฝ่ายกองทัพที่เคยสนับสนุนนายมูกาเบมาโดยตลอด คงเล็งเห็นว่า ถ้าปล่อยไว้ สถานการณ์คงย่ำแย่ บ้านเมืองไปไม่รอดแน่ เลยตัดสินใจกรีฑาทัพออกมายึดสถานีวิทยุโทรทัศน์ แล้วขอร้องแบบอ้อมๆ ให้นายโรเบิร์ต มูกาเบ ล้างมือจากการเมือง ควบคู่ไปกับการให้ฝ่ายการเมืองทั้งพรรค ทั้งรัฐสภา ปรึกษาหารือหาทางออกเพื่อยุติวิกฤติบ้านเมือง
ในวันแรกแม้ข่าวกระจายไปทั่วโลกว่าฝ่ายกองทัพซิมบับเวยึดอำนาจ (มีการปฏิวัติรัฐประหาร) แต่ก็ยังเกิดความสับสนต่อประชาคมโลก เพราะพรรคการเมืองมิได้ถูกสั่งห้าม
มิให้มีกิจการการเมือง อีกทั้งรัฐสภาก็ยังดำเนินการไปได้อยู่ (เพื่อที่จะให้มีการเคลื่อนไหวตั้งข้อกล่าวหา และดำเนินการถอดถอน นายโรเบิร์ต มูกาเบ) นอกจากนั้น เรื่องที่ถือว่าแปลกคือ ไม่ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลทหารโดยฝ่ายกองทัพ
หากมองย้อนเข้าไปจะเห็นว่า นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้ชาวโลกเห็นว่า ทางฝ่ายกองทัพซิมบับเวได้ออกมายืนเคียงข้างภาคประชาชนทุกหมู่เหล่า และเห็นพ้องกับประชาชนว่า นายโรเบิร์ต มูกาเบ ต้องลงจากเวทีการเมืองแล้ว ดังนั้น กองทัพจึงสนับสนุนให้กลไกรัฐสภาได้ช่วยดำเนินการในสิ่งที่ถูกต้อง เท่ากับว่าเป็นการปลดล็อกทางการเมืองให้กับประเทศ และทำให้สังคมไม่สับสน เพราะได้ชี้ให้เห็นต้นตอของปัญหาทางการเมือง และช่วยดำเนินการแก้ไขอย่างทันที
ทางด้านนายโรเบิร์ต มูกาเบ อิดเอื้อนอยู่ 2-3 วันในที่สุดก็มีหนังสือลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจว่า ทางกองทัพได้ให้เกียรติอดีตวีรบุรุษของชาติ ด้วยการยอมให้ลงจากหลังเสือแบบสง่างาม (ได้รับอภิสิทธิ์คุ้มครองความปลอดภัยและปราศจากการตั้งข้อหาใดๆ) นั่นเพราะสังคมซิมบับเวยังสำนึกในคุณงามความดีเมื่อครั้งปลดปล่อยประเทศออกจากการกดขี่ของคนผิวขาว และนายมูกาเบก็อายุอานามถึง 93 ปีแล้ว ถือเป็นการเลิกราต่อกันและกัน มุ่งหน้าไปท่ามกลางความสมานฉันท์สามัคคี
เห็นเหตุการณ์ที่ซิมบับเว เขากำลังทำให้โลกดูกันอยู่นี้ ก็อดคิดถึงเหตุการณ์ของไทยหลายครั้งมิได้ว่า ถ้าหากฝ่ายกองทัพไทยประกาศจุดยืนอยู่ข้างประชาชนที่ออกมาเรียกร้องความถูกต้อง ยุติธรรม ที่ออกมาขับไล่ผู้บ่อนทำลายชาติบ้านเมือง แล้วฝ่ายกองทัพก็ประคองให้ระบบรัฐสภาทำหน้าที่ต่อไป โดยไม่ทำการยึดอำนาจไว้เสียเอง โดยมีการแยกแยะถูกผิดให้สังคมเข้าใจชัดเจนว่า ในเหตุการณ์วิกฤตินั้น ใครที่เป็นผู้ทำลายชาติบ้านเมืองและเมื่อเอาคนชั่วออกไปได้แล้วผู้รักชาติทุกคนก็จะต้องยืนอยู่ข้างเดียวกัน ร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศกันไปได้ ที่ผ่านมา การเมืองไทยก็อาจจะราบรื่นกว่านี้
บทเรียน หรือกรณีศึกษาจากซิมบับเวมี 2 เรื่องใหญ่คือ เมื่อฝ่ายกองทัพประกาศจุดยืนอยู่กับความถูกต้อง ยืนอยู่กับประชาชน ก็สามารถทำหน้าที่ประคองให้กลไกบ้านเมืองทำหน้าที่กำจัดอุปสรรคของชาติออกไปจากเวทีการเมือง ซึ่งทั้งพรรค ทั้งรัฐสภา ต่างยังทำงานต่อไปได้ โดยไม่ต้องยึดอำนาจมาบริหารประเทศเองให้ปวดหัวและสุ่มเสี่ยงโดนด่าจากชาวบ้าน โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ
เรื่องต่อมาคือ อำนาจนั้น แม้จะหอมหวาน เมื่อลิ้มลองแล้ว คนส่วนใหญ่มักติดใจ เพลิดเพลิน จนกระทั่งทำทุกวิถีทางเพื่อจะต่ออำนาจให้ตนเอง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ไม่คำนึงถึงจิตใจประชาชน ซึ่งในที่สุดจะเข้าทางเดียวกันกับนายมูกาเบ ที่แม้จะมีคุณงามความดีขนาดเป็นวีรบุรุษปลดแอกของประเทศ คนสรรเสริญมากมายขนาดทำให้หลงผิดคิดไปว่า ตนเองเท่านั้นที่เป็นผู้นำได้ ก็ยังถูกไล่ลงจากเวทีในที่สุด ทำนองเดียวกับที่โบราณท่านว่า น้ำพยุงเรือไว้ก็จริง แต่ก็จมเรือได้เช่นกัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี