หลังมีกระแสข่าวมาตลอดหลายวันที่ผ่านมาว่า รัฐบาลคสช. เตรียมจะผ่อนผันการปิดกั้นทางการเมืองที่เนิ่นนานมาร่วม 3 ปีกว่า ด้วยการออกคำสั่งปลดล็อกพรรคการเมืองในการประชุมครม. เมื่อวันจันทร์ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้ใครต่อใครหลายคน ประชาชนและนักการเมือง คิดว่าจะมีการปลดล็อก เพื่อเตรียมเลือกตั้งเร็วๆนี้ แต่สุดท้าย หลังประชุมครม.จบลง ก็ไม่มีคำสั่งปลดล็อกเกิดขึ้น มากไปกว่านั้นยังมีกระแสข่าวออกมาทำนองว่า คสช.ยังไม่คิดจะหยิบประเด็นปลดล็อกพรรคการเมืองมาพิจารณา?
แม้ในความเป็นจริง ทุกพรรคการเมืองจะต้องแจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูลสมาชิกพรรคตามกฎหมายใหม่ให้เสร็จเรียบร้อยภายใน 5 มกราคม 2561 ซึ่งนับจากวันนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่ 29 วัน เพื่อให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง อันเป็นกฎหมายที่ใช้ประกอบการเลือกตั้ง
ด้วยเงื่อนกรอบกำหนดที่ใกล้เข้ามาทุกที แต่ทุกพรรคการเมืองกลับไม่สามารถดำเนินกิจกรรมใดๆได้ ทำให้หลายคนเริ่มมีข้อสงสัยทำนองว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่แน่อาจได้เห็นการเซตซีโร่พรรคการเมือง ใช่หรือไม่? เพราะในเมื่อคสช.ไม่ยอมปลดล็อก ก็จะทำให้พรรคต่างๆ จัดทำทะเบียนสมาชิกพรรคไม่ทันตามที่พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดไว้ จะส่งผลให้ทุกพรรคต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่โดยปริยาย? และนั่นอาจหมายความถึงการเตรียมตัวลงสู้ศึกเลือกตั้งไม่ทันด้วย จริงหรือไม่?งานนี้ถ้าเป็นอย่างที่ว่า ก็น่าคิดว่าแล้วใครที่ได้เปรียบที่สุดในการออกกฎหมายและเล่นเกมการเมืองครั้งนี้?
อาจถูกมองได้ว่า เป็นการสร้างความได้เปรียบให้พรรคการเมืองพรรคใหม่ที่คาดจะมีอย่างน้อย 2-3 พรรค ให้ 2-3 พรรคที่ว่านี้จัดทัพให้พร้อมก่อน ใช่หรือไม่? ทั้งการจัดเตรียมสมาชิกที่ว่ากันว่านอกจากเตรียมดึงอดีตสส.พรรคต่างๆเข้าก๊วนแล้ว ยังมีกระแสข่าวว่าพรรคใหม่นี้มีแนวคิดที่อาจโยงถึงการดึงบุคคลในแม่น้ำ 5 สาย ของคสช.เข้าร่วมด้วยจริงหรือไม่?
เพราะในความเป็นจริง ถ้าไม่เอาเรื่องเงื่อนเวลาและกรอบกฎหมายนี้มาบีบบังคับกันแล้ว พรรคการเมืองเก่าก็มีกระบวนการทางการเมืองและมวลชนที่สามารถจดทะเบียนและจัดตั้งสาขาสมาชิกได้ตามกระบวนการทางกฎหมายของคสช.อยู่แล้ว
ถ้าเร่งปลดล็อกเสียแต่ตอนนี้ แม้ขั้นตอนกระบวนการจะยุ่งยากหน่อย แต่เชื่อว่า ทุกพรรคน่าจะทำทันเดดไลน์แน่นอน แต่ติดปัญหาบางอย่างที่ไม่สามารถทำได้ ใช่หรือไม่? ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับการเตรียมความพร้อมของพรรคใหม่ ที่เร่งเตรียมอาวุธและขุมกำลัง ก่อนเริ่มจุดสตาร์ทสู้ศึกเลือกตั้ง ใช่หรือไม่? เพราะพรรคใหม่ดูเหมือนจะขาดบางสิ่งสำคัญคือ ระบบฐานสมาชิกและระบบฐานมวลชนที่ยังไม่เหนียวแน่น หากได้กลไกพิเศษก็จะไม่เป็นเช่นนั้น พรรคใหม่อาจจะเข้มแข็งขึ้นมาเท่าเทียม
และถ้าเป็นไปตามสมมุติฐานนี้ หลายคนก็คิดว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือ พรรคการเมืองเก่าจะเริ่มอ่อนแอลง ขณะที่พรรคการเมืองใหม่อาจจะเข้มแข็งขึ้นมาเท่าเทียม สุดท้ายจุดแข็งและจุดด้อยดังกล่าว อาจนำไปสู่การดูดสส.ของพรรคเก่า เข้ามาอยู่พรรคใหม่ด้วยหลายปัจจัยที่เอื้อ โดยเฉพาะทุนซึ่งสุดท้ายไทยก็จะไม่ได้นักการเมืองหน้าใหม่ๆ เข้ามาทำงานให้ประเทศเหมือนอย่างที่พล.อ.ประยุทธ์ และประชาชนหวังไว้ แต่จะได้เพียงนักการเมืองหน้าเดิมๆ เปรียบเสมือนน้ำเปลี่ยนขวดเท่านั้นเอง!!!
อย่างไรก็ดีหวังว่าแนวคิดดังกล่าวนี้จะไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตการเมืองไทย
แต่ใช่จะเป็นไปไม่ได้เลย จริงหรือไม่? เพราะตอนนี้แม้มีแรงเขย่าจากทุกพรรค โดยเฉพาะประชาธิปัตย์และเพื่อไทย ที่สองค่ายบังเอิญไปเจอกันในงานเสวนาแห่งหนึ่ง และดูจะพร้อมใจกันห่วงใยสถานการณ์ดังกล่าว จนนำมาซึ่งการสร้างจุดร่วมทางการเมืองส่งสัญญาณให้มีการปลดล็อก แต่ความพยายามจากฝั่งคสช.ก็มีเพียงกระแสข่าวที่ออกมาพูดถึงเรื่องที่ว่า จะให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นก่อนเลือกตั้งสส. ซึ่งจะดูเป็นการกระทำหวังสร้างกระแสผ่อนคลายทางการเมืองเท่านั้น จริงหรือไม่? เพราะกฎหมายท้องถิ่น 6 ฉบับ ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ จะเสร็จเมื่อใด? หรือกระทั่งกฎกติกาที่พยายามให้การปกครองท้องถิ่นแยกจากการเลือกตั้งการเมืองสนามใหญ่ก็ยังไม่มีข้อยุติ?
ขณะที่สถานการณ์เรื่องนี้กำลังเป็นประเด็นใหญ่ก็ดันประจวบเหมาะกับการจับกุมอาวุธที่บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทราช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่คสช.โดยรองนายกฯอ้างเรื่องความมั่นคงที่ยังไม่สงบขึ้นมาทันควัน การมีข่าวจับอาวุธเถื่อนในช่วงเร่งด่วนนี้ และพยายามนำข่าวจับอาวุธเถื่อนเป็นเหตุในการเลื่อนปลดล็อกพรรคการเมือง ใช่หรือไม่? ข้อน่าสังเกตคือเหตุการณ์ความไม่สงบหรือการจับอาวุธเถื่อน หรือข่าวก่อการร้าย มักจะเกิดขึ้นช่วงที่สถานการณ์การเมืองกำลังจะสุกงอมโดยตลอด? ข้ออ้างเกี่ยวกับความมั่นคงแบบนี้ก็มีตลอดเกือบทุกครั้งในช่วง 3 ปีกว่าที่ผ่านมา แต่ครั้งก่อนๆ เกิดการยอมรับและมีกลุ่มการเมืองหนุนหลังชัดเจน มีเหตุผลเพียงพอเชื่อมสถานการณ์สร้างความรุนแรง แต่ครั้งนี้ดูจะน่าคิด เพราะหากมีการเตรียมเลือกตั้งจริง ก็คงจะไม่เขย่าเรื่องความรุนแรงเพื่อชะลอการเลือกตั้งออกไปอีก เพราะกลุ่มการเมืองรู้ดีว่า หากมีความรุนแรง จะถูกทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไป
เพราะตอนนี้เริ่มมีนักการเมืองและนักวิชาการออกมาแย้งความเห็นรองนายกฯแล้วในทำนองว่าไม่ควรนำกรณีตรวจพบอาวุธมาเป็นเหตุอ้างเลื่อนเลือกตั้ง เพราะหลายๆ ประเทศ เช่น อังกฤษที่เคยมีเหตุก่อการร้ายก่อนเลือกตั้ง ก็ยังยึดวันเลือกตั้งตามเดิม อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด ขณะที่รัฐบาลหรือคสช.ก็ควรแยกจัดการให้ชัดเจนระหว่างเรื่องความมั่นคงกับเรื่องต่อต้านรัฐบาลคสช. ที่เมื่อหลายอย่าง พอไม่เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้นทุกวัน ตลอดจนความไม่แน่นอนของโรดแมปที่จะนำไปสู่การกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน ก็นำไปสู่ความน่าเชื่อถือที่ลดลงของของรัฐบาลในสายตาประชาชน ถึงเป้าหมายแท้จริงของรัฐบาลชั่วคราวนี้
เหตุการณ์ตอนนี้จึงไม่ใช่ช่วงน้ำผึ้งพระจันทร์อีกต่อไป ความนิยมที่ประชาชนมีต่อ คสช.ลดลงเมื่อเทียบกับ 3 ปีก่อน เวลานี้คสช.พูดอะไรก็ยากที่ประชาชนจะเชื่อถือง่ายๆเหมือนก่อนแล้ว ใช่หรือไม่? อีกทั้งกระแสความไม่ไว้วางใจต่อรมต.หลายคนในครม.นี้ เช่น ไม่เชื่อมั่นความสามารถ รมว. เกษตรฯหรือการปรับเก้าอี้เพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองในกรณี รมว.การท่องเที่ยวฯ ที่มีข้อกังขาว่า จะทำได้ดีเท่าคนก่อนหรือไม่? และล่าสุดกรณีแหวนเพชรและนาฬิการาคาสูงของรองนายกฯที่ประชาชนหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดแล้วจึงไม่พบทรัพย์สินดังกล่าวในการแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินที่แจ้งต่อป.ป.ช.? แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แสดงให้เห็นการมองรัฐบาลในสายตาประชาชนเปลี่ยนไป สถานการณ์ขณะนี้คงต้องบอกว่า การกระทำต่างๆ ของรัฐบาลต้องคิดให้รอบคอบ ต้องคิดถึงคำสัญญาวันก่อนๆ ให้ดีว่า พูดอะไรไว้บ้าง? ไม่ใช่แค่ดำเนินงานไปตามสถานการณ์ ที่สุดท้ายก็ไม่มีการเดินตามโรดแมปจริง ใช่หรือไม่? เช่น การเลือกตั้งที่สุดท้ายก็เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด?
ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจกำลังตกต่ำ ปัญหาปากท้องของประชาชนยังเรื้อรัง นับวันปัญหา เหล่านี้กลับยิ่งเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปัญหาสินค้าราคาเกษตรตกต่ำ ประชาชนประสบปัญหา รายจ่ายมากกว่ารายรับเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลคสช.ยังแก้ไขไม่ได้ และยิ่งปล่อยไว้ ปัญหาก็จะสะสมเพิ่มไปเรื่อยๆ มาวันนี้ปัญหาความเชื่อมันลามไปถึงการไม่ประกาศปลดล็อกทางการเมือง ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่อาจส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้ว ให้แย่ลงไปกว่าเดิม?
นอกจากนี้เรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศชะลอการตัดสินใจลงทุน ยังรู้สึกติดลบกับคสช.จากความไม่ชัดเจนในการเลือกตั้ง และความพยายามเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ซึ่งประเด็นนี้นับเป็นส่วนที่ร้ายแรงมากกว่าการประกาศให้ชัดเจนไปเลยว่าจะอยู่ต่ออีกกี่ปี? หลายฝ่ายอาจมองว่าเข้าใกล้จุดร้ายแรงเศรษฐกิจเข้าไปทุกที? แม้รัฐบาลคสช.พยายามที่จะผลักดัน อีอีซี ให้เป็นโครงการหลัก แต่การประชุมคณะกรรมการหลายครั้งที่ผ่านมา พบว่าโครงการเป็นการลดแลก แจกแถม ให้ต่างชาติเพื่อเรียกเงินเข้าประเทศอย่างไร้ราคา ประกอบกับมีข่าวทำนองว่าพยายามจะทิ้งทวน ส่งท้ายในสัญญาจ้างต่างๆ และเร่งลงนามให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง ใช่หรือไม่? ข่าวลือต่างๆ จึงยิ่งสร้างกระแสลบต่อรัฐบาลมากขึ้น
อนาคตของประเทศต่อจากนี้จะไปในทิศทางไหน? เหตุใดความหวังของประชาชนจึงเริ่มมาสู่การเลือกตั้งมากขึ้น? ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีการพูดถึง มีแต่เฉพาะนักการเมืองที่อยากเลือกตั้ง คสช.เท่านั้นที่จะตอบคำถามนี้ได้ การจัดการในเวลาอันควร ดีกว่าการอยู่ในเวลาที่ไม่มีใครต้องการ
.........................................
“ความตาย” แม้เป็นข้อยุติของทุกสรรพสิ่ง แต่ไม่อาจ
แก้ปัญหาใดทั้งสิ้น”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง เหยี่ยวนรกทะเลทราย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี