จากคดีที่ก่อนหน้านี้ฝ่ายทหารและตำรวจพบคลังอาวุธสงครามร้ายแรงจำนวนมากถูกนำไปทิ้งในทุ่งพื้นที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา โดยเป็นอาวุธลอตเดียวกับที่กองกำลังแดงฮาร์ดคอร์เคยใช้ก่อเหตุร้ายช่วงการชุมนุมของมวลมหาประชาชนกปปส.เมื่อปี 2557 ซึ่งตำรวจเตรียมขออำนาจศาลออกหมายจับ 5 แกนนำกลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ที่ต้องสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังอาวุธสงครามร้ายแรงลอตนี้ ปรากฏว่าจู่ๆ นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำแดงฮาร์ดคอร์ที่ถูกออกหมายจับและเป็นเจ้าของที่ดินในอ.บางน้ำเปรี้ยว ที่พบคลังอาวุธสงครามร้ายแรงได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งรับสารภาพว่าอาวุธดังกล่าวเป็นของกลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ที่เคยใช้ก่อเหตุในอดีต ทำให้นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธานกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาตั้งข้อสงสัยในพฤติกรรมของนายวัฒนาว่าอาจจะร่วมมือกับฝ่ายอำนาจรัฐในการจัดฉากการตรวจพบอาวุธสงครามครั้งนี้เพื่อเป็นข้ออ้างในการดึงเกมปลดล็อกพรรคการเมืองและเพื่อสืบทอดอำนาจ
สำหรับ 5 แกนนำแดงฮาร์ดคอร์ที่กำลังจะถูกออกหมายจับประกอบด้วย 1.นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรมต.ยุครัฐบาลระบอบแม้ว และเป็นแกนนำคนเสื้อแดงที่หนีหมายจับข้อหาหมิ่นเบื้องสูงไปเคลื่อนไหวอยู่ในต่างแดน 2.พล.ท.มนัส เปาริก อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่นที่ 10 (ตท.10) กับ นายทักษิณ 3.นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร 4.นายชัยวัฒน์ ผลโพธิ์ หรือ เปี๊ยก กาละแม 5.นายสมเจตน์ คงวัฒนะ
หลังมีข่าวว่าจะถูกออกหมายจับ นายจักรภพ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวระบุว่าการพบอาวุธสงครามร้ายแรงที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว เป็นการจัดฉากของอำนาจรัฐคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)โดยที่ตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใดทั้งสิ้น
จนล่าสุด นางธิดา ออกมาตั้งข้อสงสัยที่ นายวัฒนา ออกมามอบตัวกับเจ้าหน้าที่อย่างง่ายดาย เพราะหากเป็นคนอื่นที่มีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองจำนวนมากคงต้องหนีไปแล้ว แต่นี่กลับมอบตัวและรับสารภาพ ทำให้เกิดคำถามว่า เป็นการมอบตัวรับสารภาพแล้วไม่มีโทษใช่หรือไม่ เพราะที่ผ่านมานายวัฒนา เคยถูกจับในคดีนี้มาแล้ว แต่น่าสงสัยว่าแล้วได้รับอิสรภาพได้อย่างไร
อดีตประธานกลุ่มคนเสื้อแดงยังตั้งข้อสงสัยว่าการตรวจพบอาวุธสงครามครั้งนี้อาจเป็นแผนลับลวงพรางด้วยการหาข้ออ้างเพื่อปฏิรูปและความมั่นคงจึงต้องรักษาความสงบเรียบร้อยขจัดเสี้ยนหนามก่อนการเลือกตั้งหวังไปต่อ
สำหรับปูมหลังของ นายวัฒนา เป็น 1 ในขบวนการแดงฮอร์ดคอร์ที่เคยถูกออกหมายจับพร้อมกับพวก รวม 11 คน เมื่อปี 2557 ซึ่งแกนนำแดงฮาร์ดคอร์ 5 คน ที่ถูกออกหมายจับครั้งล่าสุดก็อยู่ใน 11 ผู้ที่ถูกออกหมายจับในอดีตนั่นเอง โดย นายวัฒนา เคยถูกจับกุมมาแล้วเมื่อเดือนส.ค. 2557 ฐานมีอาวุธสงครามร้ายแรงไว้ในครอบครอง ซึ่ง นายวัฒนา รับสารภาพว่าทำหน้าที่แจกจ่ายอาวุธสงครามเพื่อใช้ก่อเหตุในจุดต่างๆ และนำอาวุธส่วนหนึ่งไปฝังดินไว้ที่อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา โดยอาวุธสงครามรับมาจาก นายสมเจตน์ คงวัฒนะ ซึ่งเป็นแกนนำแดงฮาร์ดคอร์ที่มีเครือข่ายในอ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อนำไปถล่มมวลมหาประชาชนกปปส.
สำหรับ นายสมเจตน์ หลังการรัฐประหารของคสช.เมื่อปี 2557 ได้หลบหนีเข้าไปกบดานอยู่ในประเทศกัมพูชา โดยความช่วยเหลือของ นายจักรภพ เพ็ญแข ต่อมาทางการไทยกดดันกลุ่มแดงฮาร์ดคอร์หนักผ่านรัฐบาลกัมพูชา ทำให้บรรดาแกนนำแดงฮาร์ดคอร์ต้องย้ายไปกบดานในประเทศลาว โดย นายสมเจตน์ ได้ร่วมกับนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” ก่อตั้งสหพันธ์รัฐไท พร้อมประกาศตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อปลดแอกประเทศไทยและต่อต้านคสช.
จนเมื่อวันที่ 29 ก.ค.2560 ได้มีกลุ่มชายชุดดำบุกเข้าจับตัว “โกตี๋”ภายในบ้านพักกลางกรุงเวียงจันทน์ของลาว โดยมี นายสมเจตน์ พักร่วมอยู่กับ โกตี๋ ด้วย โดย โกตี๋ เชื่อว่าถูกกลุ่มชายชุดดำพาไปสังหารทิ้งที่ดอนทรายกลางแม่น้ำโขง ซึ่งจุดนี้เองมีการตั้งข้อสงสัยว่าทำไม นายสมเจตน์ ถึงรอดชีวิตไม่ถูกกลุ่มชายชุดดำนำตัวไปสังหารพร้อมกับ โกตี๋ ทั้งๆ ที่ นายสมเจตน์อยู่ในบัญชีดำอันดับต้นๆของหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่มีแกนนำแดงฮาร์ดคอร์บางส่วนจะด้วยกลับใจหรือมีเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยนกับฝ่ายอำนาจรัฐแปรพักตร์หันมาทำงานให้กับฝ่ายเจ้าหน้าที่
เพราะฉะนั้นจากท่าทีของนางธิดาที่สงสัยในพฤติกรรมของนายวัฒนาสะท้อนให้เห็นถึงรอยปริร้าวและไม่ไว้วางใจกันในหมู่แกนนำคนเสื้อแดงพวกเดียวกันเอง ซึ่งมีแนวโน้มว่านับวันจะขยายวงกว้างและลึกมากขึ้นเรื่อยๆ
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี