ราคายางพาราเป็นปัญหาคาราคาซังมาช้านาน ใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหานี้ ขึ้นอยู่กับว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหนเพียงใดหรือไม่เท่านั้น มิหนำซ้ำยังมีคนชั่ว
ก่อกรรมทำเข็ญบนความทุกข์ยากของบ้านเมืองและราษฎร คอยซ้ำเติมปัญหาให้หนักหน่วงอยู่เป็นอาจิณ บางพวกก็ไร้สติปัญญาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ใจอยากจะแก้ปัญหา แต่เพราะขาดไร้สติปัญญา จึงยิ่งแก้ก็เหมือนลิงแก้แหเข้าไปทุกที หนักๆ เข้าก็หลงทิศผิดทาง ซ้ำเติมปัญหาให้หนักหน่วงขึ้นไปเรื่อยๆ
มาคราวนี้ราคายางพาราตกต่ำ ก็มีผู้ออกความเห็นให้แก้ไขปัญหายางพารากันมากมาย แต่ดูเหมือนว่าไปคนละทิศไปคนละทาง และทางที่อาจจะเกิดขึ้นได้เพราะใกล้กับผู้มีอำนาจก็ดูเหมือนว่าเป็นทางเข้าป่าลงเหวโดยแท้ ดังเช่นข้อเสนอให้ไปเจรจากับมาเลเซียและอินโดนีเซียเพื่อร่วมหัวกันฮั้วราคาหรือฮั้วการขายยางพารา ถ้าขืนทำจริงก็คงฉิบหายวายวอดกันใหญ่
ก็รู้กันแหละว่านอกจากประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศผลิตยางพารามากที่สุดของโลกแล้ว ยังมีประเทศที่ผลิตยางพาราสำคัญอีกสองประเทศคือ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งถ้าหากสามประเทศนี้รวมหัวกันด้วยดีแล้ว ก็จะสามารถควบคุมการส่งออกยางพาราได้ และอาจส่งผลต่อราคายางพาราได้บ้าง ทำนองเดียวกับกลุ่มโอเปกที่มีบทบาทในการส่งออกและควบคุมราคาน้ำมันนั่นแหละ
แต่จะเทียบเท่ากันก็ไม่ได้ เพราะเวลานี้มีการผลิตยางพาราเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ไม่ว่าเวียดนาม ลาว พม่า กัมพูชา อินเดีย และจีน ดังนั้น ขืนฮั้วการส่งออกรุ่มร่ามหรือโดยไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ แทนที่จะแก้ปัญหาก็จะพาลเจ๊งเองก็ได้
นอกจากนั้น ความคิดแบบนี้ดูเหมือนขาดความรู้และข้อมูลอย่างยิ่ง เพราะในปัจจุบันนี้ก็ต้องรู้กันให้ถ่องแท้ว่าประเทศที่แปรรูปยางพาราทั้งขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย รายใหญ่ที่สุดของโลกนั้นอยู่ที่จีน โดยมีจุดหลักอยู่ที่มณฑลซานตงและมณฑลเสฉวน เขาแปรรูปยางพาราส่งออก ทั้งส่งออกการแปรรูปขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลายชนิดครบวงจร
ดังนั้นเพื่อประกันไม่ให้ถูกฮั้วขายที่จะมีผลกระทบต่อการผลิต เขาจึงสำรองยางดิบไว้จำนวนมหาศาล อย่างน้อยก็พอต่อการใช้ 2-3 ปี เช่นเดียวกับการสำรองปุ๋ยที่บรรษัทการเกษตรครบวงจรแห่งชาติของจีนเขาสำรองไว้ให้พอใช้ถึง 3 ปี ดังนั้นสถานการณ์จึงยากยิ่งที่จะฮั้วการส่งออกเพื่อกดดันราคาให้สูงขึ้นเหมือนแต่ก่อน
เหตุนี้ความคิดที่จะฮั้วส่งออกหรือฮั้วราคาขายจึงใช้ได้เฉพาะบางระดับ ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการแก้ไขปัญหาราคายางพารา
อย่างนี้แล้วจะแก้ไขปัญหาราคายางพาราได้อย่างไร? ก็ต้องตอบว่าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจำต้องอัญเชิญพระบรมราโชบายของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ที่ทรงกำหนดยุทธศาสตร์ชาติในการสร้างชาติเป็นมหาอำนาจทางเกษตรอุตสาหกรรมหรืออุตสาหกรรมการแปรรูปภาคเกษตรอย่างจริงจัง
ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้เล่า? ก็เพราะเหตุว่า
ประการแรก ประเทศไทยยังคงส่งออกยางดิบแบบที่เคยส่งออกเมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว เรียกว่าไม่มีการพัฒนาในการค้าและแปรรูปยางพาราเลย โรงงานยางรถยนต์ในประเทศมีน้อยกว่าปริมาณยางมาก ดังนั้น จึงต้องพึ่งการส่งออกและราคาส่งออกเป็นหลัก ซึ่งเป็นเหตุแห่งหายนะของราคายางพาราและชาวสวนยางพาราทั่วประเทศ และเป็นปัญหาให้กับรัฐบาลไม่มีที่สิ้นสุด
ประการที่สอง แม้ว่าอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราขั้นต้นขั้นกลาง และขั้นปลายจะอยู่ที่จีนคือที่มณฑลซานตงและเสฉวน โดยทั้งสองมณฑลนี้เป็นมณฑลใหญ่ มีขนาดประชากรระดับร้อยล้านคน มีการส่งผลิตภัณฑ์ยางไปทั่วประเทศและทั่วโลกก็จริงอยู่ แต่ในความเป็นจริงก็ต้องรับซื้อขนยางพาราจากไทย มาเลเซียและอินโดนีเซีย ข้ามน้ำข้ามทะเลนับพันๆกิโลเมตรด้วยต้นทุนสูงลิ่ว ไม่มีทางที่จะสู้ราคาหากมีการตั้งโรงงานแปรรูปยางในประเทศไทยให้ครบวงจรตามพระบรมราโชบายของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้เลย
อัญเชิญพระบรมราโชบายนี้มาปฏิบัติเมื่อใด ประเทศไทยก็จะมีจุดแข็งแกร่งในการค้ายางของโลก กระทั่งผู้ผลิตยางพาราทั้งหมดจะต้องถือนโยบายการผลิตและราคาของประเทศไทยในที่สุดด้วย ฉะนี้แล้วไฉนจึงไม่ทำกัน นั่นเพราะความโง่เขลาเบาปัญญา หรือไม่นำพาต่อจุดแข็งที่สุดของชาตินั่นเอง
ประการที่สาม ให้เป็นที่รู้ทั่วกันว่ายางพาราไทยเป็นยางธรรมชาติที่คุณภาพดีที่สุดของโลก เพราะเราตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร มีคุณสมบัติอ่อน หยุ่น เหนียวกว่ายางพาราที่ผลิต
ในย่านนี้ ยิ่งไม่ต้องเทียบกับการผลิตในแหล่งอื่น ดังนั้นบรรดาผลิตภัณฑ์ยางพาราทั้งหลายที่ต้องใช้ยางพาราคุณภาพขั้นสูงสุดจึงต้องพึ่งยางพาราไทยทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายที่เราไม่ใส่ใจความล้ำเลิศที่บรรพบุรุษได้ประทานดินแดนแห่งนี้ให้เราทั้งหลาย แล้วใช้จุดเด่นจุดแข็งอันยอดเยี่ยมนี้ในการสร้างสรรค์พัฒนาชาติบ้านเมือง
บอกให้รู้กันก็ได้ว่าดาวเทียมทุกดวง ยานอวกาศทุกชนิดทุกลำ เครื่องบินทุกลำ รถถังและรถหุ้มเกราะทุกคัน เรือดำน้ำและยานใต้น้ำทุกชนิด รวมทั้งรถหรูราคาแพงทั้งหลาย แม้กระทั่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ และอวัยวะเทียมทั้งหลายที่ต้องใช้ยางพารา หรือนวัตกรรมผสมที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเหล็ก กระจก พลาสติกกับยางพารา ล้วนต้องใช้ยางพาราคุณภาพวิเศษจากประเทศไทยทั้งสิ้น
บริหารจัดการเรื่องยางอย่างมียุทธศาสตร์ ก็จะสามารถกุมและควบคุมยุทธศาสตร์ความมั่นคงของโลกได้ไม่ใช่หรือ สำมะหาอะไรกับแค่การส่งออกและราคายางพารา
ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหายางพาราของประเทศไทยก็คือการใช้สติปัญญาระดมกิจการแปรรูปยางพาราทุกชนิดจากทั่วโลกเข้ามาตั้งในเมืองไทย ดำเนินนโยบายเรื่องยางพาราอย่างมียุทธศาสตร์ บนพื้นฐานภูมิยุทธศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์อันล้ำเลิศของประเทศไทย
ทำกันให้ดีๆ อย่าว่าแต่จะทำให้ยางพาราราคากิโลกรัมละ 100 บาทเลย แม้ราคากิโลกรัมละ 300 บาท ก็มีผู้คุกเข่ามาขอซื้อ! ขึ้นอยู่กับว่าสติปัญญา ความสามารถ และจิตใจภักดีชาติเพียงพอหรือไม่เท่านั้น!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี