มาถึงตอนที่ 4 กับอาจารย์กรณ์สอนธรรมศาสตร์ คุณผู้อ่านสามารถอ่านย้อนตอนที่ 1 ถึง 3 ได้ที่เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์ http://www.naewna.com/columnist/1175
ตอนแรกว่ากันไปด้วยประวัติอาจารย์กรณ์ที่สะสมมาจนกระทั่งมีโอกาสมาถ่ายทอดความรู้แก่นักศึกษาธรรมศาสตร์ วิชา มธ.101 โลก อาเซียน และไทย ส่วนตอนที่ 2 และ 3 เริ่มเข้าเนื้อหา โดยตอนที่ 2 พูดถึงยุคโชติช่วงชัชวาลของไทยกับ 3.0 ที่เราใกล้จะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียเต็มที แต่สุดท้ายก็ต้องแป้กเพราะวิกฤตการณ์ทางการเงินและปัญหาการเมือง ตอนที่ 3 เป็นช่วงที่เราจะเข้าสู่ 4.0 โดยอาจารย์กรณ์ฉายภาพแวดล้อมถึง Mega Trends ที่กำลังจะเข้ามาในโลกและประเทศไทยในอนาคตไม่ไกลนัก
อาจารย์กรณ์ย้ำว่า...เราอยู่ในยุคที่มีความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรงมากที่สุดในทุกๆด้าน ความเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญมากต่อคนไทย และเราต้องเร่งปรับตัวเพื่อที่จะอาศัยความเปลี่ยนแปลงนี้ ในการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของคนไทย
ความเปลี่ยนแปลงหลักที่ประเทศไทยจะต้องกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมเพื่อรองรับคือ 1.ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเข้าสู่ยุคดิจิตัลและปัญญาประดิษฐ์ 2.การที่เราจะมีประชากรที่มีกำลังซื้อสูงจากการที่ประเทศใกล้เคียงพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะ จีน อินเดีย และเพื่อนบ้าน CLMV 3.สังคมผู้สูงอายุ ที่ทำให้มีสัดส่วนพึ่งพิงที่เปลี่ยนแปลงไปวัยแรงงานลดต่ำลงแต่มีภาระการดูแลคนวัยเด็กและวัยชรามากขึ้นสะท้อนว่าในอนาคตต้องทำงานด้วยประสิทธิภาพขั้นสูงสุดกว่าสมัยนี้มาก
ความเปลี่ยนแปลงหลักของทั้งสามข้อนี้ หมายถึง“โอกาส” ที่เพิ่มมากขึ้นจากกำลังซื้อคู่ค้าของเรา และความจำเป็นในเพิ่ม “ประสิทธิภาพ” ในการทำงาน และการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
โดยสรุปของตอนที่ 3 ก็คือภายในปี 2050 ไทยจะเป็นศูนย์กลางหลายๆอย่างและได้รับอานิสงส์เต็มๆ จาก Mega Trend ที่เรียกว่า Urbanisation โดยเฉพาะการ Urbanised จากเอเชีย จากจีน อินเดีย และ CLMV เพื่อนบ้านของเรา แต่เราก็ต้องหาวิธีรับมือให้พร้อมด้วยเพราะ ความท้าทายต่างๆจะมาพร้อมกับโอกาส และหลักการที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราได้พร่ำสอน มีพระบรมราโชวาทเรื่อยมาคือเรื่อง หลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่สอดคล้องกับหลักสำคัญทางเศรษฐศาสตร์ และอาจารย์กรณ์เอามาเล่าให้นักศึกษาฟัง นั่นคือ More with less ที่จะสร้าง Efficiency ประสิทธิภาพในทุกกระบวนการผลิตของประเทศเพื่อนำไปสู่ Sufficiency เพื่อความยั่งยืนในการพัฒนาประเทศไทยของเราอย่างแท้จริง
อธิบายง่ายๆ ก็คือ คนแก่เยอะขึ้น คนทำงานน้อยลงคนเกิดใหม่ก็น้อยลง แปลว่า คนวัยทำงานต้องดูแลคนวัยเด็กและวัยชรามากกว่าเดิม สมัยก่อนคนทำงาน 5 คน ดูแลอีกสองกลุ่ม 1 คน อนาคตจะเหลือแค่ 2 ต่อ 1 เท่านั้น ทางออกก็มีแค่ 2 ทางคือ 1.คนวัยชราและวัยเด็กต้องดูแลตัวเองให้ได้เอง ซึ่งยากจะเป็นไปได้จากข้อมูลปัจจุบันที่เขาบอกว่า เราจะแก่ไป จนและเป็นหนี้สูงมาก และ 2.คนวัยทำงานต้องหาเงินได้มากขึ้น ต้องทำงานหนักขึ้นหรือพูดให้ชัดก็คือ ต้องมี “ประสิทธิภาพ” มากขึ้น
ประสิทธิภาพจะสูงขึ้นก็ต้อง มีการศึกษาที่ดีและต้องมีเทคโนโลยีที่มาจากการวิจัย นวัตกรรม เพื่อให้เราสร้างผลิตผลได้จากทรัพยากรที่น้อยที่สุด ผลิตให้คุ้มค่าที่สุด ล้างผลาญให้น้อยที่สุด แต่ได้ผลลัพธ์ที่สูงที่สุด ตามภาพเลยครับ More With Less ใช้ประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
วันนี้ครับ ตอนที่ 4 เราจะมาย้ำต่อกันด้วยเรื่องที่ว่า “อะไร” จะมาทำให้เกิด Efficiency หรือทำให้เกิดประสิทธิภาพได้มากที่สุด
ชวนคิดกันก่อนครับ...
ภาพสไลด์ที่โชว์อันนี้คือภาพ “รถคันแรก>>รถคันสุดท้าย”
ในอดีตรถคันแรกของโลกเมื่อปี 1907 รุ่น Ford Model Tนั่งได้สองคน น้ำหนักครึ่งตัน ใช้กันแพร่หลายในยุคนั้น เวลาผ่านไปร้อยปีกว่า Ford ผลิตรถก็เหมือนๆกับรถยี่ห้ออื่นๆ ทั่วไป เชื่อมั้ยครับว่า น้ำหนักเฉลี่ยรถยนต์ในยุคปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจาก 500 กิโลกรัม เป็น 1,700 กิโลกรัม
นั่นหมายความว่า รถยนต์คันหนึ่งจะใช้ทรัพยากรในการผลิตเพิ่ม 3 เท่ากว่าๆ ขณะที่จากงานวิจัยพบว่า รถคันหนึ่งในอายุขัยของมัน มีคนนั่งเฉลี่ย 1 คนครึ่ง สรุปคือ รถทั้งคันวันๆ ขับอยู่แค่คนเดียว และระยะเวลาต่อวัน 24 ชั่วโมง คนใช้รถเฉลี่ยต่อวันไม่ถึง 4 ชั่วโมง อีก 20 ชั่วโมง คือจอดทิ้งไว้
เห็นภาพในมุมความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากรที่เอามาผลิตรถไหมครับว่า สิ้นเปลืองและสูญเสียแค่ไหน ดังนั้น...
รถคันสุดท้ายในอนาคต ควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร มุมนี้น่าคิด บางคนอาจพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนี่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ เพราะมีความเปลี่ยนแปลงเฉพาะในแง่การใช้พลังงานขับเคลื่อน แต่ไม่ตอบโจทย์ถึงการใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่เอามาผลิตรถ ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก พลาสติก ยาง กระจก เครื่องในของรถอีกหลายต่อหลายชิ้นส่วนที่ยากจะแยกออก
ภาพสไลด์นี้คลาสสิกและน่าตกใจครับ สะท้อนเรื่องประสิทธิภาพในการจัดการ “น้ำ” ของประเทศไทยของเรา
จากภาพ ให้ดูซ้ายไปขวา ฝนตกบนหัวเราประเทศรูปขวานรวมแล้ว 7 แสนล้านลบ.ม.ต่อปี คนไทยทั้งชาติใช้น้ำรวมเฉลี่ยทุกภาคส่วนไม่ว่าครัวเรือน เกษตรหรืออุตสาหกรรม 1.5 แสนล้านลบ.ม.ต่อปี เห็นแค่นี้ก็เอะใจแล้วว่า อ้าว น้ำเหลือเฟือเลยนี่นา ทำไมมีภาวะแล้งล่ะ? จุดนี้คำตอบคือ เรื่อง “เวลา” ครับน้ำมาไม่สม่ำเสมอในแต่ละฤดูกาล เยอะก็เยอะไป น้อยก็แห้งไปดังนั้น อะไรที่จะมาช่วยจัดการตรงนี้เพื่อให้ไม่เกิดปัญหาความไม่พอดีนั่นก็คือ การบริหารจัดการ
มาดูแก้วที่ 3 เราบริหารจัดการหรือมีระบบเก็บกักแค่ 7 หมื่นล้าน พูดง่ายๆ คือแย่มากๆ เก็บไว้ใช้ยามแล้ง กักไว้ใช้ยามท่วมได้แย่มากๆ น้อยกว่าปริมาณฝนที่ตกทั้งปี 10 เท่า น้อยกว่าที่ต้องใช้จริง 2 เท่า
เจ็บช้ำกว่านั้น เพราะภาคที่มีการปลูกข้าวพันธุ์ดีที่อร่อยที่สุดในโลกอย่างภาคอีสาน ฝนตก 100 เม็ด เก็บกักน้ำแค่ 4 เม็ดเท่านั้นเอง เพียงแค่ 4% จะพอทำกินอะไรล่ะครับ งานนี้ สงสารชาวนาเหลือเกิน
จากสองเรื่องนี้ที่ผมได้ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายถึงความสำคัญของการจัดการให้มี “ประสิทธิภาพ” นั้นจำเป็นแค่ไหนแล้วใช่มั้ยครับ
คราวนี้อาจารย์กรณ์บอกต่อว่า การจะทำให้แต่ละอย่างมีประสิทธิภาพ หัวใจของมัน คือ 1.คน ที่เป็นคนจัดการต้องมีความรู้ มีความสามารถ มีทักษะ มีระบบคิดที่ถูกต้อง เหมาะสมนั่นจะนำไปสู่การที่ว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ถึงให้ความสำคัญกับนโยบายการศึกษาอย่างจริงจังมาตลอดอยู่พรรคเดียวในประเทศไทย 2.เทคโนโลยี ตรงนี้ภาครัฐยังแย่มากในแง่งบประมาณเพื่อการวิจัยและนวัตกรรม ตัวเลขมันสะท้อนชัดเจนครับว่า ประเทศที่เจริญแล้วหรือเพิ่งจะเจริญนั้น เขาเร่งสปีดเรื่องวิจัยกันมาก
ส่วนของไทยเราหากเน้นวิจัยน้ำ วิจัยเกษตร วิจัยเรื่องที่เป็นฐานรากของเรา เอาให้แข็งได้ล่ะก็ เราก็จะโตอย่างยั่งยืนเป็นการพัฒนาที่สร้างความเจริญแบบยั่งยืน โตไปพร้อมกันทั้งระบบ ทุกภาคส่วน
สำหรับสัปดาห์หน้าตอนที่ 5 ตอนสุดท้าย เดี๋ยวจะหาว่า ทำไมอาจารย์กรณ์สอนแต่เรื่องที่เป็นภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยี ฟินเทค ดูแล้วทุนนิยมยังไงไม่รู้ ขอแอบบอกไว้ตอนนี้เลยครับว่า ตอนที่ 5 มีเซอร์ไพรส์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี