เมื่อไร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จะเอาจริงเอาจังกับการน้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” มาพัฒนาบ้านเมือง แทนการใช้แค่เป็นชื่อรายการคืนวันศุกร์ของตัวเอง?
ผมเพิ่งมีโอกาสไป “อ่างขาง” กับคณะทัวร์ฟ้าวันใหม่ ของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องฟ้าวันใหม่ ซึ่งดีใจมากที่ได้ไป เพราะไปเห็น “รหัส” ที่สำคัญในโครงการหลวงอ่างขาง ซึ่งเห็นแล้วยิ่งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เป็นอย่างมาก
ย้อนไปก่อนปี 2512 พื้นที่ภาคเหนือมีปัญหา “การปลูกฝิ่น” ของชาวเขา ผสานกับวิถีชีวิตแบบ “เร่ร่อน” จึงหักร้างถางพงไปเรื่อยๆ ป่าไม้ก็ได้รับผลกระทบ ตามมาด้วยปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดน เพราะชนเผ่าจากฝั่งเมียนมา บ้างหนีขุนส่าเข้ามา บ้างหนีปัญหาอื่นๆ อีกสารพัด มาอยู่ในพื้นที่ประเทศไทย แล้วถูกกองกำลังฝั่งโน้น ตามมาลุย
บนยอดดอยกันดารห่างไกล เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งร่อนลงจอดในหุบเขาที่ตั้งชื่อตามสภาพภูมิประเทศที่เป็นหลุมยุบรูปสี่เหลี่ยมว่า “อ่างขาง”
ในหลวงภูมิพลเสด็จฯ ไปทรงสำรวจปัญหาด้วยพระองค์เอง!
อ่างขางเวลานั้น งดงามด้วยดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง แต่มันเป็นดอกไม้ที่จะสร้างปัญหาอันใหญ่หลวงตามมา เพราะมันคือ “ดอกฝิ่น”
ทัศนคติและท่าทีของพระองค์ท่านน่าสนใจมาก
ใช่ครับ ฝิ่นคือปัญหา แต่คนปลูกฝิ่นในสายพระเนตรของพระองค์ท่าน ไม่ใช่อาชญากร แต่เป็นคนที่ “อับจนหนทาง” ซึ่งทรงมีเมตตาที่จะ “ช่วยเหลือ” ให้เขาได้มี “โอกาสและทางเลือกใหม่”
พระองค์มิได้ทรงแก้ปัญหายาเสพติดด้วยอำนาจ ด้วยกฎหมาย แต่ทรงตั้งโจทย์ว่า “หากมีพืชชนิดอื่นที่สร้างรายได้ให้เขาเท่าๆ หรือใกล้เคียงกับฝิ่น เขาจะเลิกปลูกฝิ่น ซึ่งเป็นพืชผิดกฎหมาย”
(ในปัจจุบัน อยากให้ลดพื้นที่ปลูกข้าว ปลูกยาง จะให้เขาทำอะไรกิน ก็ต้องคิดและสร้างแรงจูงใจให้จริงจังนะครับ ไม่ใช่บ่นไปวันๆ อย่าคิดว่าพี่น้องเกษตรกรเขาปรับตัวง่ายและทำได้ภายในวันนี้พรุ่งนี้)
ม้งข้างพระตำหนักภูพิงค์ฯ ไม่ปลูกฝิ่น พระองค์ทรงถามว่า อยู่ได้ยังไง ม้งบอกว่า เก็บท้อป่ามาขาย ราคาพอๆ กับฝิ่น เพราะมันหายาก ส่วนชาวเขาที่อ่างขางก็เล่าให้ทรงฟังว่า บนดอยมีต้นแอปเปิ้ลป่าด้วย
ด้วยพระอัจฉริยภาพ พระองค์ทรงเห็นสิ่งที่จะมาทดแทนฝิ่นแล้วในเบื้องต้น ไม่นานการทดลองนำท้อ บ๊วย สายพันธุ์ดี มาทาบกิ่งกับต้นพื้นเมืองซึ่งมีความทนทานต่อโรคก็เกิดขึ้น และประสบผลสำเร็จในการผลิดอกออกผล เช่นเดียวกับแอปเปิ้ลสายพันธุ์ดี ที่เข้ามาทดแทนแอปเปิ้ลป่า ด้วยการถอดรหัสว่า “พืชเมืองหนาวขึ้นได้บนยอดดอย”
เมื่อไม้ผลเกิดได้ ผัก ผลไม้ ดอกไม้ อีกหลายชนิดก็ตามมา ด้วยพระราชดำริว่า “เป็นของหากินยากสำหรับคนในเมือง” ราคาจะดี อยู่ได้ โดยไม่ต้องปลูกฝิ่น
ขณะเดียวกันมีชาวปะหล่องจากฝั่งพม่า ถวายฎีกา ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร โปรดฯ ให้ตั้งหมู่บ้านห่างจากฐานปฏิบัติการนอแล ซึ่งประจันหน้าอยู่กับกองกำลังอีกฝั่งหนึ่ง
ช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม ตั้งหมู่บ้านให้ห่างจากพรมแดนเพื่อความปลอดภัย ทำให้เขารู้สึกให้ได้ว่าที่นี่คือ “บ้าน” ของเขา แล้วพวกเขาจะกลายเป็น “ผู้สร้างความมั่นคง” ตามแนวชายแดน เพราะไม่มีที่ใด อบอุ่น ปลอดภัย และให้ชีวิตใหม่กับพวกเขาเท่า “บ้านหลังนี้” พวกเขาจะดูแลรักษาพื้นที่สุดชีวิตจิตใจ ส่วนมาตรการทางการทหาร-ตำรวจ ก็ทำไป ทั้งยังทรงวางแนวให้มีโรงเรียนที่สอนโดยตำรวจตระเวนชายแดนขึ้น อันเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นในพื้นที่
ต่อมาเมื่อผลผลิตมีมาก แต่ถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง ทรงริเริ่มให้ตั้ง “โรงงานแปรรูป” ผลผลิตทางการเกษตร ที่ราคาตก หรือไม่ได้ขนาด จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ “ดอยคำ” ขึ้นในเวลาต่อมา ทรงตั้งสถานีอนามัย ทรงตั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำให้ชาวเขาชาวดอยได้มีไฟฟ้าใช้ พระราชทานแม้กระทั่งที่ดินสร้างศาลพระโพธิสัตว์กวนอิมในชุมชนที่มีทั้งพุทธ คริสต์ มุสลิม แต่อยู่ด้วยกันอย่างผาสุกตามอัตภาพใต้ร่มพระบารมี ไม่ได้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ “ความสุข” มีพอ และเฝ้ารอ “เฮลิคอปเตอร์” ที่จะร่อนลงจากท้องฟ้า พร้อมกับ “พ่อหลวง” ที่มาหาด้วยความรักความเมตตาต่อพวกเขาแทบจะทุกปี
รหัสสำคัญที่มองเห็นก็คือ
เมตตา-ไม่มองเขาเป็นผู้ร้ายหรือเป็นภาระ แต่เป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา และหากเราช่วยเขา เขาจะเป็นกำลังที่สำคัญของประเทศชาติ (ดังนั้น จงเมตตาต่อชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนยาง อย่ามองว่าเขาคือปัญหา คือภาระ คือผู้ร้าย ซึ่งกลุ่มเกษตรกรเองก็ต้อง “ดึงการเมือง” ออกไปจากหนทางแก้ปัญหาด้วยเช่นกัน)
ทุ่มเท-ในการหาทางออกของปัญหา เพื่อแก้ปัญหาระยาวยาว อย่างมั่นคง ยั่งยืน ไม่เอาแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
สร้างคน-สถานีเกษตรหลวงอ่างขางที่ต่อยอดขึ้นมาเป็นโครงการหลวงทั้งหลายสำเร็จได้ด้วยหมู่คณะ นอกเหนือจากในหลวงภูมิพลแล้ว หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เจ้าชายแห่งหุบเขาและดงดอย ที่ชาวเขานับถือที่สุดอีกท่านหนึ่ง ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ ในการทิ้งวังประมวญ ไปกินอยู่กับชาวดงชาวดอยจนเข้าใจวิถีชีวิต ทดลองงานตามแนวพระราชดำริจนถ่องแท้และสานต่อได้ ถวายงานได้อย่างสมบูรณ์จริงจัง
ถ่ายทอดองค์ความรู้-ยิ่งทำให้ชาวบ้านมีความรู้ อยู่เป็น สร้างอาชีพเป็น มีความซื่อสัตย์สุจริต มีพลังร่วมแบบหมู่คณะ ปัญหาทั้งหลายก็แก้ไขหรือขับเคลื่อนได้ง่าย เพราะความพร้อมเพรียงนั้น
ความสำเร็จของโครงการหลวงจึงประกอบไปด้วยหลายส่วน คือ ผู้นำมุ่งมั่น เมตตา เอาจริง พากเพียร มอบหมายงานด้วยการเลือกคนที่มีใจให้ ทุ่มเทได้อย่างเต็มที่ มีจิตเจตนาที่แน่วแน่เช่นเดียวกัน ในอันที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหลายที่ท้าทายและต้องใช้ความอดทน ใช้ระยะเวลา หน่วยงานราชการเข้ามาประสาน ทำงานไปด้วยกันด้วยความเข้มแข็ง ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเชิงบวก รู้ว่าเป็นโครงการที่ทำเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องและคุณภาพชีวิตให้แก่ตัวเอง จึงมาร่วมมือ มาเรียนรู้ มาขับเคลื่อน และลงมือทำไปด้วยกัน โดยไม่แบ่งแยก ไม่แตกแยก ความสำเร็จจึงเกิดขึ้นมา
เสร็จจากการทบทวนเรื่องที่เล่ามาข้างต้น ก็มาพบคำให้สัมภาษณ์ของอาจารย์ยักษ์ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใหม่หมาด ใน “ผู้จัดการออนไลน์” แล้วชื่นใจ ท่านทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมมากต่อมาก เข้าใจ และทำให้เป็นรูปธรรมผ่านงาน “กสิกรรมธรรมชาติ” และ “โคกหนองนาโมเดล” มาแล้ว อยู่ที่ว่าครั้งนี้ ท่านมี “หน่วยหนุนหลังที่ดี” ที่เข้าใจ “วิธีการแบบศาสตร์พระราชามากน้อยแค่ไหน” ก็อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่อุตส่าห์เลือกท่านมาช่วยงานแล้ว ว่าจะลงมาหนุนเต็มที่ มาทำความเข้าใจ และดึงเอาองคาพยพอื่นๆ มาเสริม มาหนุนให้หรือไม่ การเปลี่ยนแปลงภาคการเกษตรด้วยศาสตร์พระราชานี้ หากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำได้สำเร็จ จะเป็นตำนานหนึ่งของการพลิกโฉมการพัฒนาที่ยั่งยืนของชาติบ้านเมืองของเราเลยทีเดียว
อ่านคำให้สัมภาษณ์บางส่วนของอาจารย์ยักษ์กันดีกว่า
► ในทัศนะของอาจารย์ยักษ์ อะไรคือปัญหาใหญ่ของภาคเกษตรไทย
ผมมองว่าปัญหาสำคัญสุดเลยคือ ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับโลกที่มันเปลี่ยนเร็ว เป็นปัญหาใหญ่ที่ทั้งโลกกำลังเผชิญClimate change adaptation การปรับตัวเข้าสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ฝนตกไม่ตรงฤดูกาลเหมือนอดีตจะทำอย่างไร น้ำที่มาไม่ตรงเวลาจะทำอย่างไร น้ำท่วมแล้วมาน้แล้ง หรือเรื่องเมล็ดพันธุ์ที่ว่าวิกฤติเพราะชาวบ้านต้องไปซื้อเขา ผมว่าชาวบ้านต้องพึ่งตัวเองให้ได้ นี่คือสิ่งที่พระองค์ท่านรับสั่งเอาไว้ มันโยงไปในเรื่องระบบการร่วมกลุ่ม ยกตัวอย่าง ในอดีตบ้านไหนเกี่ยวข้าวก็เฮละโลไปเกี่ยว บ้านไหนดำนาก็เฮละโลไปดำนา แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ถ้าไม่มีเงินใครจะมาช่วยดำนา ระบบลงแขก ร่วมแรงร่วมใจกันมันหายไปหมดแล้ว ระบบสังคมที่เอื้อกันอย่างนี้มันถูกทำลายลงไปหมดแล้ว จะฟื้นกลับมายากมาก แต่ถ้าเราไม่ฟื้นกลับมาก็ตายอยู่กับโลกใบใหม่ไม่ได้
ฉะนั้น เรื่องพลังองค์กรชาวบ้าน สหกรณ์ หรือจะเรียกอะไรไม่สำคัญ การรวมพลังที่พระองค์เรียกว่า “สามัคคีคือพลัง” มันต้องเกิดขึ้นจริงๆ ทั้งหมดนี้อยู่ในปรัชญา ซึ่งจะฟื้นกลับมาไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ต้องสู้ต้องทำ เรื่องหลักต้องให้ความรู้ความเข้าใจทุกคนไม่ใช่เพียงเกษตรกรอย่างเดียว ข้าราชการเองต้องมีความรู้ความเข้าใจ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ที่ท่องกันแล้วจะทำอย่างไรเริ่มต้นอย่างไร
► แล้วปัญหาใหญ่ของกระทรวงเกษตรฯ คืออะไร
ผมว่าเราเปลี่ยนผู้บริหารครั้งหนึ่ง ผู้บริหารก็สั่งใหม่ ตรงนี้เองถ้าเรารับรู้เป้าหมายไม่ตรงกันมันไม่มีทางสำเร็จ คนหนึ่งจะเดินซ้าย คนหนึ่งจะเดินขวา คนหนึ่งจะไปข้างหน้า คนหนึ่งจะไปข้างหลัง คนเป็นแสนคนในองค์กร ถ้ารับรู้เป้าหมายมาตรงกัน และยิ่งเปลี่ยนเป้าตลอด ซึ่งเรื่องเดิมยังไม่ชัดเลยเป้าหมายเปลี่ยนอีกแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ว่าการชัดมากเลย “ไม่เอาไม่เปลี่ยนไม่มีนโยบายใหม่” แต่มีนโยบาย 3 ต. ซึ่งจะทำให้ปัญหาใหญ่ขององค์กรได้ถูกแก้ 3 ต. คือ “ต่อ” ของเดิมมีอะไรดีให้มาเร่งต่ออย่าไปรื้อของท่านรัฐมนตรีคนเก่าซึ่งทำไว้ดีอยู่แล้ว อย่าไปเปลี่ยนนโนบายใหม่ อะไรดีแล้วคุยกันทำต่อเลย “เติม” เวลาเปลี่ยนสถานการณ์เปลี่ยนปัญหาภัยแล้งเข้ามาหรือเกิดน้ำท่วม เมื่อสถาการณ์เปลี่ยนเราต้องเติมให้สมบูรณ์ สุดท้าย สถานการณ์เปลี่ยนคนเปลี่ยนเกษียณอายุ “แต่ง” จะปรับแต่งอย่างไรให้เหมาะสม
ถ้าองค์กรเป้าเปลี่ยนตลอด ผู้นำไม่ชัดเจน ต้องการผลประโยชน์ชื่อเสียงเงินทอง องค์กรนั้นไปไม่รอด กระทั่ง ปัญหาคอร์รัปชั่นในองค์กรซึ่งเรื่องใหญ่ที่สุด เรียกว่าหัวไม่กระดิกหางไม่ส่าย ถ้าหัวนี่ดีทั้งองคาพยพก็ไม่ยากครับ แต่ต้องขอเวลาไม่ใช่เดือนเดียวเป็นไม่ไปได้หรอกต้องใช้เวลา ถามว่านานมีแค่ไหน ตอบยาก ถ้า 3 เดือน ไม่มีอะไรเห็นหน้าเห็นหลัง ถ้าเราทำอะไรไม่ได้ สตาร์ทไม่ได้ เราพร้อมจะออก
► สนับสนุนพืช GMOs หรือไม่อย่างไร
เราพูดกันมานานแล้วเรื่องนี้ ผมยึดคำสอนของพระองค์ท่านครับ เทคโนโลยีที่เรานำเข้ามาจากต่างประเทศ ถ้าคนไทยรู้จักดี เกษตรกรรู้จักดี ใช้เป็นควบคุมได้พัฒนาได้และถ้าเกิดปัญหาจัดการมันได้ เอามาเลยเพราะมันมีประโยชน์มาก แต่ถ้าใช้ก็ยังไม่ค่อยจะเป็น รู้ก็ไม่ค่อยจะรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ GMOs ดัดแปลงพัฒนาเองก็ทำไม่เป็น ต้องซื้อเขาอย่างเดียว อย่า! ถ้าเป็นแบบนี้อย่างเพิ่ง! ถามว่าวันนี้เกษตรกรรู้เรื่อง GMOs หรือยัง ตอบว่า “ยัง” ฉะนั้น ยังไม่ต้อง!
ปัญหาซ้ำซากเรื่องพืชผลทางการเกษตรจะแก้ไขอย่างไร เช่น ราคาข้าว ราคายางพารา หรือหนี้สินเกษตรกร
ที่จริงมันมีหลักอยู่หลายหลักทีเดียว หนึ่ง ถ้าคุณอยากจะอยู่ในตลาดการแข่งขันเสรีหรืออยากจะมีโซน ต้องมีทางเลือกให้เกษตรกร ไม่ใช่รัฐบอกให้ทำอย่างนี้ก็ทำอย่างนี้ ยาง เราเป็นอันดับหนึ่งในตลาดโลก ถ้าเราจะแข่งกับเขาเราต้องไปดูว่า ต้นทุนขนาดนี้เรายังท้าแข่งได้หรือเปล่า หรือถ้าคนอื่นมาเบียดเราก็จะค่อยๆ ตก ผมคิดว่าทีมท่านลักษณ์ (ลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยฯ อีกท่านหนึ่ง) รู้เรื่องดีกว่าผมเยอะในเรื่องการผลิต บนโลกการแข่งขันมันต้องไปพัฒนาต้นทุน จะลดด้วยปัจจัยใดได้บ้าง เรื่องคุณภาพผลผลิต การแปรรูปก่อนเข้าตลาดโลก
สอง กลับมาทบทวนภูมิปัญหา ชาวสวนยางในอดีตรวยทุกคน เพราะเขาไม่ได้พึงน้ำยางเพียงอย่างเดียว เขาปลูกทุกอย่างไว้ในสวนยางหมด ที่เรียกว่า สวนสมรม หรือ ป่ายาง คือเข้าไปไม่ต้องออกไปไหนเลยมีอยู่มีกินสร้างบ้านได้โดยไม่ต้องใช้เงิน อยู่ได้สบายเป็นปีไม่ต้องใช้เงินเลยก็ได้ นั่นคือวิถีชีวิตชาวสวนยางในอดีต ซึ่งวิถีพอเพียงอย่างนี้จะกลับมา ต่างจากยุคนี้หวังจะได้น้ำยางเพียงอย่างเดียว ชาวบ้านต้องกระจายความเสี่ยงเป็นทางเลือก ปัญหาเรื่องข้าวก็ลักษณะเดียวกัน หรือเรื่องหนี้เกษตรกร ทุกอย่างมีทางออก ระบบผลิตเดิม ขาดทุนทุกปีแปลว่าก่อหนี้บวกไปเรื่อย แต่ระบบผลิตใหม่มันไม่ขาดทุน เราทำตัวอย่างไว้เยอะในเครือข่าย ปรับเอาแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระองค์ไปใช้ จากเป็นหนี้เป็นสินเดี๋ยวนี้ใช้หนี้หมด แล้วเขามีเงินฝากธนาคาร เก็บสมบัติบนคันนาขายได้
► สุดท้าย ทิศทางภาคเกษตรเมืองไทยจะเป็นอย่างไร
หลักมีอยู่ 2 อย่าง พระองค์ท่านเรียกว่า หลักภูมิศาสตร์ เช่น เขตชลประทาน ที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ ชายทะเล กับ หลักสังคม เรื่องตัวคนเรื่องทักษะความรู้ความสามารถ ค่านิยม ประเพณี วัฒนธรรม ถ้ามองประกอบกัน ทิศทางภาคการเกษตรมันจะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 โลกผลิตอะไรก็วางแผนผลิตและป้อนตลาด กลุ่มที่ 2 พยามตามโลกแต่ตามไม่ทันยังปรับตัวร่อแร่ อยู่ในสภาวะพื้นที่ไม่เหมาะสมนอกเขตชลประทาน ซึ่งจะลำบาก และ กลุ่มสุดท้าย อยากมีชีวิตที่อยู่ได้แบบพอเพียง ไม่สนใจที่จะไปแข่งกับใครแต่ อยากรักษาอารยธรรมดั้งเดิมไว้ ซึ่งผมประเมินแนวโน้มโลกกลุ่มนี้จะเยอะ และคนรุ่นใหม่จะหันมาทางนี้เยอะขึ้น เพราะพวกนี้ไม่ต้องการเงิน ต้องการชีวิตที่มีคุณค่ามีความสุข
ในบทความก่อนๆ ผมได้ชี้ไปแล้วว่า การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ กระทรวงที่นายกฯ ใส่ใจที่สุด คือ กระทรวงเกษตรฯ มีความลงตัวในแง่ที่ รัฐมนตรีรู้กลไกราชการ และจะใช้มันได้อย่างแม่นยำเพื่อแก้ไขปัญหา รัฐมนตรีช่วยคนหนึ่งแม่นยำในศาสตร์พระราชา อีกท่านหนึ่งแม่นยำในเรื่องแผนการเงิน สินเชื่อ ฯลฯ เพราะมาจาก ธ.ก.ส.
หากสามท่านได้รับการ “หนุนหลัง” อย่างดีจากท่านนายกรัฐมนตรี
เราคงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีในภาคการเกษตรของเราในไม่ช้า!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี