คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเห็นชอบ ให้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาเดินหน้าคดีที่เคยมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวสืบเนื่องจากจำเลยหลบหนี ไม่มาศาลนัดแรก เพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปให้ถึงที่สุด โดยไม่ต้องรอได้ตัวจำเลยกลับมาศาล 3 คดี ประกอบด้วย
คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว ซึ่งทักษิณหนีคดี ไม่มาศาล (จำเลยรายอื่นๆ ศาลพิพากษาไปหมดแล้ว, คดีการทุจริตปล่อยเงินกู้แก่รัฐบาลเมียนมา 4,000 ล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคมจากบริษัทในเครือชินฯ ซึ่งทักษิณหนีคดี และคดีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง ของ กทม. 6,687 ล้านบาท ในส่วนของบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุคฯ ซึ่งไม่มาศาลในในการพิจารณาคดีครั้งแรก
สำหรับคดีโกงรถดับเพลิง การให้เดินหน้าคดีต่อ มีความน่าสนใจอย่างไร?
ตัวละครเอกชนรายนี้ มีบทบาทอย่างไร? เกี่ยวพันกับใคร?
1. ท่านผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง กทม. คือ นายธานิศ เกศวพิทักษ์ รองประธานศาลฎีกา ซึ่งปัจจุบันนี้ ท่านยังรับราชการอยู่
2. จำเลยในคดีนี้ ได้แก่ นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย, นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย, นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์, พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม., บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์ จำกัด หรือ STEYR-DAIMLER-PUCH Spezial fahrzeug AG&CO KG (ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว) และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่ากรุงเทพมหานคร
ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก นายประชา มาลีนนท์ 12 ปี กับพล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ 10 ปี ทั้งสองยังหลบหนีจนถึงวันนี้ และยกฟ้อง นายโภคิน นายวัฒนา และนายอภิรักษ์
ส่วนบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุคฯ จำหน่ายคดีชั่วคราวไว้ก่อนหน้า เพราะไม่ได้ตัวมาศาลตั้งแต่ต้น
3. บทบาทของบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุคฯ ตามสำนวนไต่สวนคดีของ ป.ป.ช. คือ กล่าวหาว่า ได้เข้าร่วมในโครงการจัดซื้อรถดับเพลิง โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ และสนับสนุนการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ อันทำให้บริษัทได้รับผลประโยชน์
ในคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ได้ระบุไว้ด้วยว่า ราคารถและเรือดับเพลิง กทม.ในคดีนี้ เมื่อเทียบเคียงกับที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้เคยจัดซื้อสินค้าที่มีวัตถุประสงค์ใช้งานอย่างเดียวกัน โดยมีผู้ผลิตในประเทศ พบว่าราคารถและเรือดับเพลิงที่กทม.ดำเนินโครงการนี้ ด้วยวิธีพิเศษ ราคาสูงกว่า เช่น
รถดับเพลิงมีบันไดสูง 18 เมตร จำนวน 9 คัน กทม.ซื้อในราคาแพงกว่าคิดเป็นเงิน 154 ล้านบาท
รถดับเพลิงที่บรรทุกน้ำ จำนวน 144 คัน กทม.ซื้อแพงกว่า 2,225 ล้านบาท
รถส่องสว่าง 4 คัน กทม.ซื้อแพงกว่า 71 ล้านบาท
รถบรรทุกเคมีดับเพลิง จำนวน 7 คัน กทม.ซื้อแพงกว่า 396 ล้านบาท
เรือดับเพลิงซึ่งบริษัทสไตเออร์ไม่ได้ผลิต แต่ได้ว่าจ้างบริษัทอื่นในยุโรปผลิตและประกอบขาย จำนวน 30 ลำ กทม.ซื้อแพงกว่า 334 ล้านบาท
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบราคาสินค้าที่เสนอผ่านเอกชนสเปนมาไทย ซึ่งเป็นสินค้าคุณภาพเช่นเดียวกันมีเงื่อนไขปลอดการชำระ 24 เดือน แต่มีราคาต่ำกว่า 2,090 ล้านบาท
ในคำพิพากษายังระบุด้วยว่า พยาน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ ได้เปรียบเทียบราคาตามมาตรฐาน พบว่า เมื่อมีการพิจารณาราคาโดยรวมทั้งหมดแล้ว บริษัท STEYR ได้ผลประโยชน์ 2,192 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 48.77 เปอร์เซ็นต์)
ที่น่าคิดก็คือว่า หากบริษัทได้ผลประโยชน์ส่วนเกินไปกว่า 2 พันล้านนั้น จะต้องแบ่งปันให้กับนักการเมืองไทย หรือนายหน้า หรือคนทำหน้าที่เจรจาแวดล้อมหน้าไหนที่ช่วยให้สามารถปิดจ๊อบในขณะนั้นหรือไม่ อย่างไร?
น่าสงสัยใช่ไหมว่า การติดตามเส้นทางการเงินของคดีนี้ มีการสืบสาวไปถึงไหน อย่างไร เงินไหลออกนอกประเทศแล้วไปไหน อย่างไร? ตกหล่นที่ไหน พักที่ไหน กระจายไปไหน หรือย้อนไปไหนต่อไหน อย่างไร?
ไม่รู้จะมีรายการ “กูพูดไม่ได้” มั้ย?
4. แต่เดิม โครงการจัดซื้อรถดับเพลิงนี้อ้างค้าขายต่างตอบแทนกับ “ไก่ต้มสุก” ด้วย
แล้วก็สุกจริงๆ แต่ไม่ใช่ “ไก่” ที่สุก
ส่วน “รัฐมนตรีไก่” ก็รอดพ้นคดีไปแล้ว
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า ขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ดำรงตำแหน่งรมว.มหาดไทย เมื่อประมาณเดือนมิ.ย. 2546 เอกอัครราชทูตออสเตรียประจำประเทศไทยได้เสนอให้มีการจัดซื้อสินค้าในลักษณะรัฐต่อรัฐ โดยมีการเสนอช่วยหาแหล่งทุนในการจัดซื้อให้ด้วย และให้มีการจัดซื้อสินค้าต่างตอบแทนระหว่าง 2 ประเทศในแบบเต็มจำนวนร้อยต่อร้อย โดยมีการเสนอให้ซื้ออุปกรณ์และครุภัณฑ์รถและเรือดับเพลิงผ่านบริษัทสไตเออร์ มูลค่า 156 ล้านยูโร คิดเป็นเงินไทย 6,687,489,000 บาท โดยให้มีการทำข้อตกลง ที่มีภาระผูกพันระหว่างคู่สัญญา ขณะที่ได้ความจากพยานโจทก์ระบุว่า โครงการพัฒนาระบบฯ จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล หลังจากที่ครม.มีมติแล้ว 60 เปอร์เซ็นต์ โดย กทม.ออกเองอีก 40 เปอร์เซ็นต์ จึงเท่ากับว่า งบประมาณในโครงการดังกล่าวไม่ได้เป็นไปตามที่มีการเสนอไว้ว่าออสเตรียจะช่วยหาแหล่งทุน
ปรากฏว่า ลักษณะของการจัดซื้อสินค้าเกษตรลักษณะต่างตอบแทนตามข้อตกลง ก็ไม่ใช่การซื้อขายสินค้าการเกษตรนอกเหนือจากยอดปกติที่บริษัทส่งออกไก่ต้มสุก
ส่วนราคารถและเรือดับเพลิงครั้งนี้ ก็สูงเกิน ไม่สมเหตุสมผล
บทบาทของบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุคฯ ในคดีนี้ นับว่ามีความสำคัญมาก ในฐานะคู่สัญญาของรัฐ
เป็นผู้ได้รับเงินแผ่นดินไปจากการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งนี้
ขณะนี้ บริษัทยังไม่ถูกพิพากษาว่ามีความผิด ควรจะเข้ามาต่อสู้ หรือให้ความร่วมมือแก่ทางการ
อย่าลืมว่า คำพิพากษาที่ชี้ขาดไปแล้วนั้น ระบุถึงพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ถูกชี้ขาดว่ามีความผิดไปแล้ว
ระบุว่า พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ติดต่อกับบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุคฯ ขณะรับราชการภารกิจในกองบังคับการตำรวจดับเพลิง และพาไปพบนายประชา เพื่อให้ช่วยผลักดัน
เมื่อโอนย้ายอำนาจหน้าที่ของพล.ต.ต.อธิลักษณ์มาที่สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแล้ว พล.ต.ต.อธิลักษณ์ได้เกี่ยวข้องกับโครงการมาตลอด ทั้งทำรายงานบันทึกถึงรัฐมนตรีประชาเพื่อเสนอ ครม.อนุมัติโครงการ เมื่อถูกให้นำกลับไปแก้ใหม่ ก็ลุกลี้ลุกลน ขนาดแก้วันที่ย้อนหลังไม่คำนึงถึงระเบียบงานสารบัญ เชื่อว่าเพื่อต้องการเร่งนำเสนอครม.ก่อนสิ้นปีงบประมาณ และก่อนที่นายสมัคร สุนทรเวช จะหมดวาระในตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.
ศาลฎีกาชี้ว่า นั่นแสดงให้เห็นว่าการเสนอโครงการไม่ใช่เกิดจากความจำเป็นของ กทม. แต่เป็นการเสนอตามความต้องการของบริษัทที่จะขายสินค้า
นอกจากนี้ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ยังเร่งรีบกดดันให้มีการเปิดแอลซี เมื่อนายอภิรักษ์เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าฯ ได้แจ้งให้พล.ต.ต.อธิลักษณ์ขยายเวลาเปิดแอลซี แต่นอกจากจะไม่กระทำตาม ยังมีหนังสือแจ้งไปที่ธนาคารกรุงไทยในการอนุมัติ ทำให้นายอภิรักษ์ต้องทำหนังสือแจ้งกลับไปที่ธนาคารให้ระงับการอนุมัติวงเงินในวันเดียวกัน จึงเห็นว่า พล.ต.ต.อธิลักษณ์กระทำผิดวิสัยข้าราชการ ไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติ มีพิรุธและเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทโดยมิชอบ
ยิ่งไปกว่านั้น ศาลฎีกาฯ ยังชี้ว่า นายประชา ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อนายอภิรักษ์มีหนังสือให้กระทรวงมหาดไทยทบทวนโครงการ กลับมีหนังสือแจ้งนายอภิรักษ์ 2 ฉบับ โดยอ้างเอ็มโอยู และเร่งให้เปิดแอลซีทันที จนนำไปสู่การซื้อสินค้าไม่เหมาะสมเพื่อประโยชน์ให้บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุคฯ
ทั้งนายประชา และพล.ต.ต.อธิลักษณ์ ถูกตัดสินว่ามีความผิด จำคุก 12 ปี และ 10 ปี ตามลำดับ
5. ศาลฎีกาฯ ยกฟ้องนายโภคิน พลกุล เพราะขณะที่พล.ต.ต.อธิลักษณ์นำผู้แทนบริษัท เข้าพบนายประชานั้น นายโภคินยังเป็นรองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลเรื่องกฎหมาย ไม่ได้เป็นผู้อนุมัติโครงการ เมื่อนายโภคินเข้ามาก็ลงนามเอโอยู โดยเชื่อว่า กทม.ได้ตรวจสอบเนื้อหาแล้ว และยังเคยตอบ กทม.ว่าหากพบการทุจริตก็ให้แจ้งกระทรวงมหาดไทยพิจารณาต่อไป ซึ่งเป็นการดำเนินการตามขั้นตอน
สำหรับนายวัฒนา เมืองสุข รมว.พาณิชย์ขณะนั้น ศาลฎีกาฯ ยกฟ้องเช่นกัน โดยชี้ว่า มีการทำข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน หลังจากที่มีการลงนามข้อตกลงเอโอยู และได้มีการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ที่จะเป็นหลักเกณฑ์ปฏิบัติแล้ว โดยที่บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุคฯ ได้จ้างให้บริษัทซีพีเอ็มฯ มาดำเนินการซื้อขายไก่ต้มสุกที่ส่งออกแทน แม้จะมีการอ้างว่าบริษัทซีพีเอ็มฯ เป็นเครือญาติกับนายวัฒนา แต่ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่านายวัฒนามีส่วนรู้เห็นด้วยกับการกระทำความผิด
ส่วนนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม.ศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง โดยเชื่อว่า นายอภิรักษ์กระทำไปบนพื้นฐานตามข้อเท็จจริงตามข้อมูลที่ปรากฏและใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว
6. รถดับเพลิงที่ซื้อมาจากบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุคฯ นั้น ยังเป็นมรดกเจ้ากรรม นำมาซึ่งภาระและปัญหาอีกมากมายจนถึงปัจจุบัน โดยที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย
เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทผู้ขนส่งดูแลรถดับเพลิงก็มีการยื่นฟ้อง กทม. ให้ชำระค่าเก็บรักษารถดับเพลิงที่จอดไว้ท่าเรือ จำนวน 139 คัน รวมเป็นเงิน 1,040 ล้าน
น่าเจ็บใจ กทม.จ่ายเงินไปแล้ว 6 พันล้านบาท รถไม่ได้ใช้ แถมยังมาถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายอีก
จนถึงวันนี้ ผู้กระทำผิดตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ยังหลบหนีอยู่ และทางการก็ยังไม่ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากตัวการผู้กระทำให้เกิดความเสียหายแก่แผ่นดินเลย
สันติสุข มะโรงศรี
(แทน ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี