l เราอยู่ในสังคมไทยที่ยังมีความไม่เสมอภาคเป็นธรรม และกระบวนการยุติธรรมยังไม่สมบูรณ์ ความจำเป็นในการรู้ เข้าใจกฎหมายพื้นฐาน ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพทั้งในเรื่องส่วนตัวและบ้านเมืองฯ กำหนดให้คนไทยเราควรจะต้องศึกษาหาความรู้ในเรื่องนี้ จะได้เข้าใจเรื่องราวในสังคมได้อย่างถูกต้อง
l เราถูกสอน “อย่าไปมีเรื่องหรือไปค้าความกับใคร” ซึ่งไม่ผิด แต่การที่เรา “ไม่สนใจกฎหมายเลย” ไม่ถูกแน่ แม้ว่าเราจะมีเงินจ้างทนายไปสู้คดีแทน เราก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานกฎหมาย ซึ่งไม่ยากเลย เราสามารถศึกษาเรียนรู้จากเอกสารทางกฎหมายที่อัยการหรือผู้เกี่ยวข้องฯแจกจ่าย และการไปศึกษาจากสถาบันการศึกษา แต่ที่ทำได้ง่ายๆ คือ การศึกษาเรียนรู้เอง และวิธีการง่ายๆ ที่คนมักไม่ใส่ใจ คือ การไปร่วมฟังคดีที่ญาติมิตรเราโดนคดี หรือคดีเกี่ยวข้องกับบ้านเมือง
ปู่จิ๊บไปเจอแม่ยก พธม. ที่ไปเชียร์แกนนำหรือผู้นำที่นิยมชมชอบ สามารถอธิบายได้คร่าวๆ เรื่องของคดี บทบาทของทนาย อัยการ แม้แต่ผู้พิพากษาฯ ซึ่งเกิดจาก “การไปร่วมในศาลไปฟังฯ” และเมื่อไปร่วมฟังคดีเล็กๆ เกี่ยวกับถูกฟ้องหมิ่น การเลือกตั้งฯรวมทั้งคดีที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมือง ทำให้เราเริ่มเข้าใจว่า “หากเราสนใจศึกษาแล้ว”ไม่ยากเลย และหากโดนคดี ก็จะประหยัดเงินได้มากโข
l เราลองอ่านและคิดตาม เรื่องราวของกฎหมายเหล่านี้ดู
ก.ปัญหาในทางกฎหมาย เกิดขึ้นจาก
1.ประชาชนไม่รู้กฎหมายหรือใช้กฎหมายไม่ถูกต้อง หรือหาช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อเลี่ยงกฎหมาย, การไม่เสมอภาคจากผลของกฎหมาย เนื่องจากฐานะ บทบาทหน้าที่ของประชาชนที่แตกต่างกัน คนจน คนไม่รู้ ย่อมเสียเปรียบ คนรวย คนรู้ย่อมได้เปรียบมากกว่า, การแทรกแซงทั้งทางตรง (ผู้ทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม) และทางอ้อม (ผู้มีอำนาจ ทุนฯ) ต่อคดี
2.ตัวกฎหมายและกระบวนการทางกฎหมาย ยังไม่สมบูรณ์ ทั้งในแง่ความยุติธรรมและความเสมอภาค
3.การใช้กฎหมายในกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ อัยการ ศาล) ยังสุจริตเที่ยงธรรมโปร่งใสฯไม่สมบูรณ์ฯ
ข.กฎหมายที่ควรรู้เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน (ศิวะดล นิลสุข และอื่นๆ)
กฎหมายคือ ข้อบังคับ กติกาของรัฐหรือของชาติ กำหนดขึ้นมาเพื่อใช้บังคับ ควบคุม ความประพฤติของบุคคลในสังคม ให้ปฏิบัติตามหากมีการฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตาม จะมีความผิดและได้รับโทษตามที่กำหนดไว้
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ประชาชนทั่วไปจะต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นประชาชนจึงมีความจำเป็นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายอย่างที่ควรทราบ เพื่ออำนวยความสะดวกและรักษาสิทธิ ตลอดจนผลประโยชน์ที่ประชาชนควรจะได้รับ
1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ กำหนดสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ของบุคคล
-สิทธิ หมายถึง ประโยชน์ซึ่งกฎหมายรับรอง คุ้มครองให้กับบุคคล เช่น สิทธิทางการเมือง สิทธิในทรัพย์สิน
-เสรีภาพ หมายถึง การกระทำของบุคคลที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย เช่น เสรีภาพในร่างกาย เสรีภาพในการพูด การพิมพ์ การเขียน การนับถือศาสนา
-หน้าที่ คือ สิ่งที่บุคคลจะต้องกระทำหรืองดเว้นกระทำ ในฐานะสมาชิกของรัฐ เช่น การเสียภาษีอากร การป้องกันประเทศ
2.กฎหมายแพ่ง เป็นกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องบุคคล ทรัพย์สิน นิติกรรม สัญญา ละเมิด ครอบครัวและมรดก ที่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย
3.กฎหมายอาญา เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความผิดและโทษ โดยกำหนดผู้กระทำผิดจะได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด จึงมีความสำคัญช่วยให้ประชาชนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย
4.กฎหมายเกี่ยวกับบุคคล บุคคลหมายถึง สิ่งที่กฎหมายกำหนดให้มีสิทธิหน้าที่ได้ตามกฎหมาย สภาพบุคคลเริ่มต้นตั้งแต่แรกคลอดเป็นทารกและสิ้นสุดสภาพบุคคลเมื่อตายหรือสาบสูญตาม คำสั่งของศาล การสาบสูญคือ การหายจากภูมิลำเนาในภาวะปกติเกิน 7 ปี หรือหายจากภาวะที่เป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น เรืออับปาง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ 3 ปี ถือว่าเป็นคนสาบสูญได้ ในกรณีที่ผู้สาบสูญกลับมา สามารถขอร้องต่อศาลให้ถอนคำสั่งสาบสูญได้
5.ทรัพย์และทรัพย์สิน 6.นิติกรรม 7.สัญญาและประเภทของสัญญา
8.กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัว
การหมั้น คือ การทำสัญญาระหว่างชายหญิงว่าจะสมรสกัน จะทำได้เมื่อชายและหญิงอายุ 17 ปีบริบูรณ์ ถ้าชายและหญิงเป็นผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองการสมรส การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์หากมีอายุต่ำกว่านี้ต้องศาลอนุญาต
ทรัพย์สินของสามีและภรรยา แบ่งเป็น 1.สินส่วนตัว คือ ทรัพย์สินที่สามีหรือภรรยามีก่อนสมรส 2.สินสมรส คือ ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างการสมรส
การสิ้นสุดการสมรส 1.ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ 2.คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่กรรม 3.การหย่า
กฎหมายเรื่องมรดก พินัยกรรม
9.กฎหมายอื่นๆ การทะเบียนราษฎร์ บัตรประจำตัวประชาชนการรับราชการทหาร การรักษาความสะอาด การเรี่ยไร หนังสือมอบอำนาจ เอกเทศสัญญา กฎหมายที่ดิน อาวุธปืน
10.การเป็นโจทก์-จำเลย ต้องรับรู้เข้าใจ เรื่องราวและขั้นตอนต่างๆ สิทธิและหน้าที่ของตน ทนาย ตำรวจ อัยการศาล กรมราชทัณฑ์ คืออะไรเป็นสิทธิของตน อะไรเป็นสิทธิของทนาย ตำรวจ อัยการ ศาล กรมราชทัณฑ์
ค.การแบ่งประเภทของกฎหมาย
ก.หากใช้เนื้อหาของกฎหมายเป็นเครื่องแบ่งแยก เราจะแบ่งประเภทกฎหมายได้เป็น 1.กฎหมายสารบัญญัติ ซึ่งกำหนดสิทธิและหน้าที่ของบุคคลโดยตรง 2.และกฎหมายวิธีสบัญญัติ ซึ่งกำหนดวิธีการเยียวยาเมื่อมีการละเมิดสิทธิ หน้าที่ ที่เกิดขึ้น
ข.ถ้ายึดเอาลักษณะของนิติสัมพันธ์เป็นเกณฑ์ ก็สามารถแบ่งแยกประเภท เป็น 1.กฎหมายมหาชน 2.กฎหมายเอกชน
l หลักในการศึกษาและเรียนรู้ เราเริ่มได้จากทั้งการทำความเข้าใจทฤษฎีและหลักการทางกฎหมายไปก่อน หรืออาจจะเริ่มจากการไปฟังคดี หรือการถูกฟ้องคดี แล้วเราศึกษาทำความเข้าใจไปด้วยในช่วงนั้นๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี