ในสังคมไทยเรามักมีการกล่าวกันอยู่เสมอๆ แทบจะเป็นเนืองนิตย์ว่า ประเทศไทยยังไม่พร้อมจะก้าวไปเป็นประชาธิปไตยแบบสากล เพราะประชาชนพลเมืองไทยยังไม่มีความพร้อม ฉะนั้นประเทศไทยจึงเหมาะสมที่จะมีประชาธิปไตยแบบไทยๆ ต่อไป ซึ่งแปลได้ว่า เป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ หรือครึ่งเผด็จการครึ่งประชาธิปไตย ไม่งั้น ประเทศไทยก็จะไม่มีเสถียรภาพและไม่มีความก้าวหน้า
ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย และได้แสดงการคัดค้านแนวคิดดังกล่าวอยู่เสมอ ด้วยผมเห็นว่า ปัญหาความกระท่อนกระแท่นของประชาธิปไตยของไทยเรานั้น มิได้มาจากประชาชนพลเมืองขาดความพร้อมเป็นต้นเหตุ ผมกลับคิดว่า ประชาชนพลเมืองไทยในวันนี้ มีองค์ความรู้ มีทักษะพอสมควร และสามารถพัฒนาให้เป็นพลเมืองประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์แบบเยี่ยงเช่นคนเกาหลีใต้ หรือคนไต้หวันเช่นกัน
แต่ที่ประชาธิปไตยไทยยังก้าวไกลไปไม่ถึงสุดทางและประชาชนพลเมืองยังมิได้เล่นบทบาทเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจอธิปไตยทั้งปวงอย่างเต็มที่และเต็มภาคภูมิ ก็เพราะมีกลุ่มชนที่เป็นอุปสรรค เป็นตัวปัญหาต่างหาก ก่อให้เกิดการบิดเบือนประชาธิปไตยและขัดขวางวิวัฒนาการของประชาธิปไตยให้สะดวกและราบรื่น
ผมว่าปัญหาประชาธิปไตยหลักๆ ของไทยมาจาก 3 กลุ่มชน ทั้งความนึกคิด,ทัศนคติ และค่านิยมที่ขวางกั้นประชาธิปไตย ซึ่งมีหลักคิดและแนวปฏิบัติที่ดูไม่ไปตามครรลองประชาธิปไตย และแถมยังดูจะสวนทางอีกด้วย
3 กลุ่มชน พร้อมแนวคิดและพฤติกรรมคือ ฝ่ายกองทัพ รวมทั้งตำรวจ ฝ่ายข้าราชการประจำและพนักงานรัฐต่างๆ และฝ่ายกลุ่มหรือชนชั้นการเมืองอาชีพ ซึ่งเป็นอย่างไรกันกับหลักประชาธิปไตยก็อาจจะสาธยายกันได้ดังนี้
1. หลักคิดของแวดวงแวดรั้วกองทัพ (doctrine) เกี่ยวกับบ้านเมือง ก็เชื่อและถือตนว่าเป็นผู้ปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และในยามที่บ้านเมืองคับขัน ก็เป็นภาระหน้าที่ต้องเร่งแก้ไข เท่ากับว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่จะเข้าข้องแวะกับเรื่องการบ้านการเมือง เพื่อชาติบ้านเมืองจักได้อยู่รอดไปได้ตลอดรอดฝั่ง เป็นการมองข้ามหรือไม่รับหลักประชาธิปไตยว่า ฝ่ายกองทัพต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและต้องอยู่ในวินัย โดยเคารพเชื่อฟังหรือให้เกียรติฝ่ายการเมืองเป็นสำคัญ และผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินก็คือ ประชาชนพลเมืองที่ฝ่ายกองทัพต้องปกป้องคุ้มครองและยืนเคียงข้าง มิใช่เจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาประชาชนพลเมือง
2. ฝ่ายข้าราชการพลเรือน โดยทั่วไปขาดองค์ความรู้และจิตสำนึก หรือความนึกคิดของการเป็นพลเมืองประชาธิปไตย ต่างมักจะสาละวนกับการงานเฉพาะหน้า และความก้าวหน้าของตัวเองเป็นหลัก โดยทำตนห่างเหิน เสมือนว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความเป็นไปของบ้านเมือง อีกทั้ง
มักทำตัวเป็นผู้ปกครอง เป็นผู้บังคับบัญชาประชาชนพลเมืองมากกว่าเป็นผู้รับใช้ และผู้ให้บริการ และอำนวยความสะดวก มักจะไม่ยอมแยกแยะว่า พฤติกรรมพร้อมด้วยคำสั่ง ความปรารถนา หรือเป้าประสงค์ของฝ่ายการเมือง ผู้กำกับนโยบายและทิศทางประเทศนั้น มีความชอบธรรมและอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายของความถูกต้องหรือไม่ การไม่เห็นด้วย การทัดทานคำสั่งที่มิชอบ จึงมักไม่เกิดขึ้น และยอมไปในลักษณะของการปิดหู ปิดตาข้างเดียวและคล้อยตาม โดยมิได้คำนึงถึงผลเสียหายต่อประเทศชาติโดยรวมที่ว่า ชาติต้องมาก่อน มิใช่ผลประโยชน์ของส่วนบุคคล
นอกจากนั้น ฝ่ายข้าราชการประจำมักจะชอบและคุ้นเคยกับการมีอำนาจ จึงมิค่อยยอมปล่อยวาง และโอนไปให้ภาคธุรกิจ หรือประชาสังคม หรือชุมชนให้เขาต่างดูแลและกำกับกันเอง การกระจุกตัวของอำนาจที่ส่วนกลาง จึงเป็นการสวนทางหลักประชาธิปไตยของการกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและการยึดหลักร่วมมือกัน ช่วยคิดช่วยตัดสินใจและดำเนินการร่วมกัน
3.ส่วนฝ่ายการเมืองอาชีพนั้น ต้องสังกัดพรรคการเมือง แต่พรรคมักจะเป็นของคนกลุ่มส่วนน้อยในสังคม ที่มักจะขาดความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรค (หรือนัยหนึ่งไม่ได้ให้สมาชิกเป็นใหญ่ และให้ประชาชนได้รับรู้เห็นด้วย) ที่ผ่านๆ มา พรรคจึงเป็นเพียงกลุ่มอภิสิทธิ์ชนฉะนั้นจะตอบสนองผลประโยชน์หนึ่งใดแทนที่จะมุ่งที่ผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก พรรคมักมุ่งหาคะแนนนิยมและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ไม่มีเวลา ไม่มีใจที่จะดูเรื่องต่างๆ ของประเทศชาติได้ในระยะยาวและปานกลาง หรือไม่สามารถให้คำมั่นสัญญา ผูกมัดตัวเองตามอุดมการณ์และวิสัยทัศน์ได้อย่างจริงจังหรือแท้จริง พรรคจึงกลับกลายเป็นที่รวมของกลุ่มผลประโยชน์ และการหาประโยชน์เข้าตนและพวกพ้อง การใช้อำนาจโดยมิชอบ การทุจริตคอร์รัปชั่นก็ตามมาและการชิงดีชิงเด่นกันเองแบบหักหาญ ไร้การออมชอมต่างๆ เหล่านี้ บ่อนทำลายสังคมประชาธิปไตยและความนับหน้าถือตาจากประชาชนพลเมือง
เมื่อฝ่ายกองทัพ เมื่อฝ่ายข้าราชการพลเมือง และเมื่อฝ่ายนักการเมืองเป็นกันเช่นนี้ ประชาชนก็เลยได้เป็นเพียงผู้ดู เป็นเพียงผู้มองอยู่ห่างๆ ไม่ได้ฝึกฝนทักษะที่จะใช้สิทธิ์ในการควบคุมรัฐ อย่างที่เขาควรจะได้ทำผลที่ตามมาคือ การถดถอยของประชาธิปไตยไทยเรา หรือประชาธิปไตยเรายังวนเวียนอยู่ในอ่าวของความสับสน ยุ่งเหยิง
จะแก้ไขกันได้ ซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะแก้ได้นั้น ต้องสร้างความเป็นประชาธิปไตยให้กับทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือนและนักการเมือง คือทั้งหมดนี้ต้องมีใจและมีทัศนคติเป็นพลเมืองประชาธิปไตยก่อนอื่น โดยเริ่มมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ มีการกระจายอำนาจ และรับฟังความคิดเห็นจากเสียงส่วนใหญ่ภายในองค์กรของตน
ในขณะเดียวกัน เมื่อมีการบริหารราชการที่โปร่งใสแล้ว ก็ต้องกล้าที่จะเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก และง่ายต่อความเข้าใจ เพื่อได้มีการฝึกฝนทักษะในการเข้าร่วม เพื่อทำการตรวจสอบ ทักท้วง เสนอแนะได้
นอกจากนั้น เป็นเรื่องของการเสริมสร้างการมีวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ให้กับชนในชาติ ให้มีความเข้มแข็งด้วยองค์ความรู้ ความเข้าใจ ด้วยการมีส่วนร่วมด้วยการเปิดเวที หารือ วิพากษ์วิจารณ์ และด้วยการร่วมลงคะแนนตัดสินใจในเรื่องโครงการหนึ่งใดให้มากที่สุด
การปลูกฝัง การรู้ลึกซึ้งซึ่งสิทธิและหน้าที่ภายใต้กรอบกฎหมาย ก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพื่อจักได้ช่วยกันขจัดลัทธิอุปถัมภ์ ลัทธิเล่นพรรคเล่นพวกซึ่งไร้เหตุผลอันกระทบต่อบ้านเมือง
เมื่อพลเมืองไทยมีทักษะในการควบคุมรัฐ ให้อยู่ในกรอบกฎหมาย กรอบศีลธรรม ตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว กลุ่มผู้ใช้อำนาจรัฐก็จะฉ้อฉล ปล้นเอาสิทธิเสรีภาพงบประมาณประชาชนไปปู้ยี่ปู้ยำแบบในอดีตไม่ได้ เมื่อนั้นสังคมไทยก็จะสามารถเจริญก้าวหน้าได้อย่างก้าวกระโดดจนสามารถก้าวไปเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างที่คาดหวังกันเอาไว้มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี