เมื่อ 2 ปีที่แล้วประชาคมโลกทั้งหมดยกเว้นซีเรีย กับ นิการากัว ได้ตกลงเซ็นสัญญาที่จะร่วมมือกันลดภาวะโลกร้อนที่ปารีส โดยมีหลักการว่า ประเทศในโลกจะร่วมมือกัน ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ขึ้นไปบนอากาศในจำนวนที่ตกลงกัน เพราะเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่าภาวะโลกร้อนเป็นฝีมือของมนุษย์ แต่ต่อมาประเทศที่ค้าน 2 ประเทศ คือ ซีเรีย กับนิการากัว ก็ได้ยอมตกลงเซ็นสัญญา Paris Accord
ที่น่าเศร้าคือเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งควรเป็นผู้นำของโลกประกาศให้อเมริกาถอนตัวจาก Paris Accord ครั้งนี้โดยให้เหตุผลง่ายๆ ว่า ภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นเพราะนักวิทยาศาสตร์สร้างเรื่องขึ้นไม่มีการวิจัยที่ถูกต้อง เป็นการหลอกลวงโลกเพื่อให้ต้นทุนการทำธุรกิจแพงขึ้น
ผมเชื่อว่าเหตุผลใหญ่ที่สุดของทรัมป์ ก็คือเรื่องการเมือง เพราะฐานเสียงของเขาคืออเมริกันผิวขาวที่ตกงานมาก และคนทำงานเหมืองแร่ถ่านหิน อาจถูกอิทธิพลของนักคิดขวาจัดอย่าง Steve Bannonให้คำแนะนำจึงเอาใจฐานเสียง
1.ทำให้คิดออกจาก Paris Accord จะทำให้มีการจ้างงานมากขึ้น (jobs)
2.ทำให้เกิดการจ้างงานในธุรกิจเหมืองแร่ถ่านหินมากขึ้น
แต่วิธีดังกล่าวมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นผู้นำที่ขาดคุณธรรม ทำทุกอย่างเพื่อคะแนนเสียง แต่ไม่ได้ดูปัญหาของโลกที่ตามมา จากนโยบายของทรัมป์ทำตัวไม่เป็นผู้นำของโลก แต่เน้น America First
ภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น ต้องการการร่วมมือจากทุกประเทศ รวมทั้งประเทศใหญ่อย่างสหรัฐฯ ด้วย แต่น่าประทับใจว่าถึงแม้ระดับผู้นำประเทศอย่างสหรัฐฯไม่เอาด้วย แต่ก็สร้างพลังผู้นำในระดับนายกเทศมนตรีของสหรัฐฯ และผู้ว่าการรัฐต่างๆ โดยเฉพาะรัฐใหญ่ เช่น แคลิฟอร์เนีย กลับสวนทางประธานาธิบดีของตัวเองอย่างออกหน้าและสนับสนุน Paris Accord อย่างไม่เกรงกลัวประธานาธิบดีทรัมป์
ยิ่งไปกว่านั้นในนักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานระดับโลกของสหรัฐที่ไม่ได้รับการสนับสนุนด้านทุนวิจัยจากรัฐบาลของทรัมป์ได้รับการสนับสนุนจาก Macron ประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่จะให้ทำงานวิจัยต่อที่ฝรั่งเศสเรื่องภาวะโลกร้อน แสดงให้เห็นว่า นโยบายของทรัมป์ ที่ตัดงบประมาณการวิจัยภาวะโลกร้อนสร้างปัญหาให้แก่ทางวิชาการของสหรัฐฯ กลับมีผลดีสำหรับประเทศอื่นๆ คล้ายเป็นนโยบายสมองไหล ซึ่งขัดกับหลักการสร้างงานของทรัมป์
พอครบ 2 ปี เดือนนี้ มีการเชิญ ผู้นำของรัฐบาลไปประชุมที่ Paris ปรากฏว่าคนหายไม่ได้ไปปีนี้คือคุณทรัมป์นั่นเอง ซึ่งเป็นที่มาของหัวข้อบทความของสัปดาห์นี้ พูดถึงทรัมป์ที่น่าสนใจคือเรื่องผู้นำ เป็นช่วงที่น่าเรียนรู้ว่า ผู้นำที่ไม่ดีแต่สามารถได้รับเลือกขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี บทเรียนคืออะไร เราจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ต่อประเทศของอเมริกาเอง เพราะผมเชื่อว่าคงเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
เราโชคดีที่ได้เห็นบทบาทของทรัมป์บางทีคาดไม่ถึงว่า เขาจะมีพฤติกรรมดังกล่าว เช่น ไม่มีมารยาท หยาบคาย คิดแต่ตัวเอง คึกคะนอง แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว แต่ในมุมของความไม่ดีก็ดี มุมบางอย่างที่เรียนรู้ได้ เช่น การใช้สื่อโดยตรงต่อประชาชน ทวิตเตอร์ซึ่งถ้าทำให้ดี ก็จะให้การสื่อสารได้ประโยชน์โดยตรง แต่ส่วนมากทวิตเตอร์ของทรัมป์คือพูดถึงศัตรูของตัวเองเพื่อล้างแค้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ส่วนประเด็นสุดท้ายในการเรียนรู้จากทรัมป์คือ การที่เขาต่อสู้กับสื่อที่ไม่ชอบเขา เขาเรียกสื่อเหล่านั้นว่า Fake News ซึ่งทำให้เห็นตัวอย่างของการเมืองไทย
ในอนาคตว่าบทบาทของสื่อในยุค Digital มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งถ้าสื่อไทยสร้างปัญหาให้แก่สังคม เราก็ต้องมีคนที่กล้าพูดว่าบางเรื่องไม่เป็นจริง หรือ Fake News ทำให้บทบาทของสื่อในไทยจะต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น บางอย่างเราก็เรียนรู้จากผู้นำที่ไม่ดีได้เสมอ
“คนหายที่ Paris ครับ”
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี