• ยุติธรรมที่เขาให้ ไม่ยุติธรรม : ยุติธรรม จะได้มา ต้องต่อสู้ เป็นคำขวัญที่กลุ่มสังคมนิยมและนักเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรม
ได้ประกาศก้องทั่วไทย ในยุคหลัง 14 ตุลา 16
ปู่จิ๊บมาเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมครั้งแรก ก็ตอนถูกจับในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ถูกนำไปหาหลักฐานที่ห้องพักจารุทวี บางลำพู และถูกสอบสวนบันทึกคำให้การฯที่โรงพักปทุมวัน แล้วถูกนำไปขังคุก(การเมือง) ที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขน วิภาวดี (สโมสรตำรวจในปัจจุบัน) เป็นการใช้อำนาจคณะปฏิวัติจอมพลถนอม-ประภาส-ณรงค์ และถูกปล่อยด้วยพลังของนักศึกษาประชาชนเรือนแสน
ครั้งที่สอง “การเข้าไปร่วมต่อสู้ด้วยอาวุธกับพคท. (2519-2524)” เมื่อกลับเข้ามาในเมือง ก็ไปรายงานตัวกับฝ่ายความมั่นคงฯ และได้รับนิรโทษกรรม ด้วยพ.ร.บ.ของรัฐบาลฯในยุคนั้น
ในการชุมนุมของ พธม.2540-2551 และการชุมนุมของ กปปส. 2556-2557 ซึ่งปู่จิ๊บได้รับเชิญขึ้นพูดเวทีต่างๆ แต่ไม่โดนคดีเลย เพราะ “พูดในเชิงวิชาการ หลักการ สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” ไม่กล่าวหาไม่ใส่ร้ายใคร
แต่ที่น่าแปลกประหลาด กลับโดนคดีครั้งที่ 3 โดย “อัยการฟ้องในฐานะทำผิดพ.ร.บ.เลือกตั้งฯผู้ว่าฯกทม. 2556” ที่ต้นเหตุมาจาก “น้องนักศึกษาฯที่เคยทำงานร่วมฯ” เอาเอกสารโปสเตอร์การ์ตูน “ไปเผยแพร่นอกเขตเลือกตั้ง” คือ ที่มหาวิทยาลัยรังสิต โดยหวังเพื่อยกระดับและกระตุ้นให้นักศึกษาสนใจเรื่องของการใช้สิทธิปกป้องบ้านเมือง และโดนคดีหมิ่นประมาทโดยคนอยู่ต่างประเทศ มอบอำนาจช่วงต่อมาฯ ให้ทนายไปฟ้อง ที่โรงพักปทุมฯ และทนายคนเดียวก็ได้รับมอบอำนาจจากผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.จากพรรคเพื่อไทย ฟ้องเป็นจำเลยสองคน ตอนนี้ศาลตัดสินคดีต้นเหตุ “ยกฟ้องนักศึกษาฯ” แล้ว และศาลนัดพิจารณาตัดสินคดีฯ ปลายเดือนม.ค.2561
ประเด็นที่ศาลยกฟ้อง คือ
1.การดำเนินการของจำเลย เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ นำเสนอโดยหลักการ มิได้มีเจตนาร้ายต่อบุคคลใด
2. บุคคลที่ถูกกล่าวถึง ล้วนเป็นบุคคลสาธารณะ ที่สามารถกล่าวถึงได้ ในเชิงหลักการและข้อเท็จจริงที่ประชาชนรู้
3.การพิจารณาโปสเตอร์ฯต้องพิจารณาโดยภาพรวม ซึ่งเป็นไปตามข้างต้น (มิใช่นำประเด็นรองหรือประเด็นย่อย)
ซึ่งครั้งนี้ หลังจากขึ้นศาลแล้ว จึงกลับมาศึกษาทำความเข้าใจกระบวนการยุติธรรมมากขึ้นพอควร ได้เห็นถึงความสำคัญของ “กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การเข้าสู่คดีฯ” จึงนำมาเผยแพร่ต่อเพื่อนมิตร
• ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความไม่ยุติธรรม (อังกฤษ) justice delayed is justice denied ; ฝรั่งเศส : justice différée est justice refusée) เป็นภาษิตกฎหมาย ภาษิตนี้ส่วนหนึ่งมีที่มาจาก มหากฎบัตร (Magna Carta) ข้อ 40 ระบุว่า “อันว่าสิทธิก็ดี หรือความยุติธรรมก็ดีนั้น เราจักไม่ขายให้แก่ผู้ใด เราจักไม่เพิกเฉยหรือทำให้ล่าช้าต่อผู้ใด” (To no one will we sell, to no one will we refuse or delay, right or justice
• มีเรื่องที่สำคัญกว่า เรื่องของปัจเจกส่วนตัว คือ คดีมากมายของ พธม.ที่บางคดีโดนข้อหาหนักถึงประหารชีวิต
ประเด็นที่สำคัญในการชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดและจุดอ่อนของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม
1.กระบวนการพิจารณาของศาลยุติธรรม ยังใช้กฎหมายแพ่งอาญาฯ มิได้ยึดหลักกติกาสูงสุดคือรัฐธรรมนูญ
2.ฝ่ายโจทก์และอัยการตั้งข้อกล่าวหา “เอาเรื่องความเสียหายที่เกิดต่อทรัพย์สินของหน่วยงาน มาเหนือกว่าการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ออกมาปกป้องรักษาระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ”
3.ฝ่ายทนายจำเลยที่ใช้ “เงินกองทุนสู้คดีพธม.บริจาคโดยประชาชนเรือนล้าน” สู้คดีตามแนวของศาลฯ มิได้เน้นในหลักกติกาสูงสุด คือรัฐธรรมนูญ และผู้ที่มีอำนาจรับผิดชอบ มีความเชื่อว่า “จะมีการนิรโทษกรรม” และการใช้สิทธิของทนาย ที่จำเลยได้เซ็นมอบอำนาจ ดำเนินการไปตามทัศนะของตนและผู้เกี่ยวข้องฯ โดยที่จำเลยทั้งหมดได้ปรึกษากันน้อย การปรึกษาจากทนายไม่มากพอ และการใช้สิทธิพิจารณาลับหลัง และการที่จำเลยแต่ละคนไม่มีทนาย ฯลฯ ทำให้ “กระบวนการพิจารณาคดี เป็นฝ่ายตั้งรับและเสียเปรียบฯ”
จากคำพิพากษาของศาลฎีกายังได้ชี้ถึง “ข้อบกพร่องของทนายจำเลย” ที่ละเลยเพิกเฉยในการไปรับฟังคดี การไม่อุทธรณ์คดี และไม่คัดค้าน การที่ศาลนำคดีแพ่งมาพิจารณาก่อนคดีอาญาฯ ที่เป็นความผิดพลาด
• เพิ่งมาในช่วงหลังๆ จากการที่ “คุณไชยวัฒน์ อ.สมเกียรติ คุณการุณ ฯลฯ และทนายใหญ่ ปิยะณัฐ ประยงค์ฯ” ได้ใช้แนวทาง “รัฐธรรมนูญและมติของศาลรัฐธรรมนูญ” มาสู้คดี ทำให้มีผลต่อคดีมากขึ้น และปู่จิ๊บยังได้มีโอกาสรับฟัง “แนวคิดของกระบวนการยุติธรรมไทย ในทุกระดับที่ยังไม่สมบูรณ์” บางท่านยังไม่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้ “รัฐธรรมนูญ” อันเป็นกติกาสูงสุด มาเป็นหลัก ยังคงเคยชินในการพิจารณาแบบเดิมๆ ที่บางครั้งไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ที่จะได้มาซึ่งยุติธรรม
ซึ่งทนายจำเลยที่มีประสบการณ์ ต้องกล้านำเสนอต่อศาล ถึงความไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
• การปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาต้องเป็นไปโดยชอบและโดยสุจริต ภายใต้กรอบของกฎหมายและนิติประเพณี และที่สำคัญที่จะขาดมิได้ คือ ต้องยึดกฎหมายสูงสุด คือ รัฐธรรมนูญ
การตรวจสอบถ่วงดุลจากภายในองค์กรศาลด้วยกันเอง โดยมี 3 ศาล คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา การมีคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม หรือก.ต. และการตรวจสอบโดยองค์กรภายนอกโดยวุฒิสภาหรือโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ทั้งนี้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ และความเป็นจริง อาจจะถูกตรวจสอบโดยทนาย ที่เกี่ยวข้องกับคดี และนักกฎหมายที่ศึกษาติดตามคดีสำคัญๆ
และสุดท้าย อาจจะต้องนำเรื่องไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ หากมีความคิดเห็นต่างกันในเรื่องของหลักการ และสุดท้ายที่สุดของระบอบประชาธิปไตยไทยคือ การทูลเกล้าฯขอพระราชทานฯ การนิรโทษกรรมฯ
• เรื่องที่นำมากล่าวทั้งหมดเกี่ยวกับ “กระบวนการยุติธรรมไทย” เป็นไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ หวังผลดีต่อบ้านเมือง โดยสำหรับปัจเจกก็เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคน ยกเว้น 2 คนคือ คนยังไม่เกิดและคนตาย ที่ต้องใส่ใจ อย่าคิดว่า เราไม่ไปเกี่ยวข้องกับคดี แล้วคดีก็จะไม่มาเกี่ยวข้องกับเรา เพราะชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตายและหลังตายไปแล้ว ก็จะมีกฎหมายและบุคคลมาเกี่ยวข้องฯ หากเรามีความรู้และความเข้าใจเบื้องต้น เราก็จะรู้ทัน ไม่เสียเปรียบ และสามารถจัดการปัญหาได้ล่วงหน้า
สำหรับเรื่องส่วนรวม เรื่องของชุมชนที่เราอยู่ รวมทั้งเรื่องของบ้านเมืองที่เกี่ยวกับประชาชน และตัวเราฯ เราต้องให้ความสนใจและความสำคัญโดยเฉพาะ ใน “ช่วงของการเปลี่ยนผ่าน” จะต้องมีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น การออกมาใช้สิทธิเสรีภาพ เพื่อปกป้องบ้านเมืองและสถาบันหลักของชาติประชาชน จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เป็นการได้ทำหน้าที่ “พลเมืองดีของชาติ ลูกที่ดีของพ่อแม่ และปู่ย่าตายายที่ดีต่อลูกและหลาน”
เป็นความภาคภูมิใจ ในชีวิตของคนคนหนึ่ง ที่ได้ใช้ชีวิตที่เกิดมาเป็นคนไทย อย่างคุ้มค่า ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี